‘สภาผู้บริโภค’เผยแพร่แถลงการณ์หนุน ‘พิรงรอง-นพ.ประวิทย์’ ทำหน้าที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หลัง ‘คณะอนุกรรมการ กม.’ เตรียมถกปม ‘ทรูไอดี’ ยื่นหนังสือคัดค้าน ร่วมพิจารณาวาระเกี่ยวกับ ‘บ.ในเครือทรู’
.............................
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สภาองค์กรของผู้บริโภค เผยแพร่แถลงการณ์สภาผู้บริโภค ขอสนับสนุนให้ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา หนึ่งในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ได้ทำหน้าที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กสทช. จะมีการประชุมในเย็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2568
สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ในฐานะตัวแทนผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.การจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภค ขอสนับสนุนการทำงานของคณะอนุกรรมชุดนี้ให้ยึดหลักการการรักษาผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 60 ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้ง กสทช. โดยคำนึงถึงความสมดุลของคณะกรรมการ กสทช. ในการประชุมพิจารณาประเด็นที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ของประชาชนหรือผู้บริโภค
ในวาระการประชุมในวันนี้ (15 พ.ค.) คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย จะพิจารณาวาระที่มีความสำคัญ ต่อการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนในสองประเด็น ซึ่งสืบเนื่องมาจากจดหมายร้องเรียนของบริษัท ทรูไอดี สองฉบับ
คือ ขอให้พิจารณาว่า ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. สามารถเข้าร่วมพิจารณาในวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูได้หรือไม่ หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในข้อหาประพฤติมิชอบจากการฟ้องของบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด
และขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ว่ามี พฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ไม่เป็นกลาง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค โดยกล่าวหาว่า นพ. ประวิทย์ มีจุดยืนที่คัดค้านการควบรวมธุรกิจอย่างชัดเจน
ในกรณีแรก คือ การพิจารณาว่า กสทช. พิรงรอง มีสภาวะความไม่เป็นกลางอย่างร้ายแรงหรือไม่ จากเหตุของคำพิพากษาของศาล อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนในการประชุมคณะอนุกรรมก่อนหน้านี้ โดยความเห็นเสียงข้างมากสรุปได้ว่า บริษัท ทรูไอดี ไม่สามารถคัดค้านการทำหน้าที่ของ กสทช. ในการประชุมพิจารณาวาระที่เกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูได้ รวมถึง ทรูมูฟ เอช และทรู คอร์ปอเรชั่น เนื่องจากบริษัทในเครือ ไม่ใช้คู่กรณี เพราะเป็นคนละนิติบุคคล
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัท ทรูไอดี ได้มีจดหมายร้องเรียนคณะอนุกรรมฯ คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนุกรรมการชุดนี้ โดยอ้างว่ามีจุดยืนการควบรวมทรู-ดีแทค อย่างชัดเจน สภาผู้บริโภคเห็นว่า การคัดค้านการควบรวมทรู-ดีแทค เป็นการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การคัดค้านดังกล่าวไม่เป็นผล เพราะมีการควบรวมทรู-ดีแทค ในปี 2565 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้รับความเสียหาย ตรงกันข้ามบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้รับผลกำไรอย่างมากมายหลังการควบรวม ในขณะที่ผู้บริโภคได้รับความเสียเปรียบด้านราคาและบริการที่ไม่มีทางเลือก แม้ กสทช. ได้มีเงื่อนไขมาตราพิเศษให้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นปฏิบัติตาม แต่บริษัทยังมิได้ปฏิบัติตามมาตรเหล่านั้น ทำให้มีผลต่อผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง
อีกประการหนึ่ง ตามข่าวที่ปรากฏ การประชุมของ กสทช. กำลังจะมีการพิจารณาลดเงื่อนไขมาตรการพิเศษที่กสทช.ได้กำหนดไว้หลังการควบรวม ซึ่งหากการประชุมขาดความสมดุลอาจเกิดผลร้ายต่อผู้บริโภคในภายหลัง
อนึ่ง นพ.ประวิทย์ เป็น อดีต กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค และเป็นผู้ที่มีผลงานด้านนี้มาอย่างเข้มข้น ตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง การกีดกัน นพ.ประวิทย์ ออกจากที่ประชุมอนุกรรมการ เป็นการลดทอนเสียงด้านคุ้มครองผู้บริโภคที่พิจารณาการทำหน้าที่ของ กสทช.พิรงรอง และการกีดกัน กสทช.พิรงรองจากการประชุม กสทช. ก็เป็นการลดทอนเสียงในการพิจารณาวาระต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อผลประโยชน์สาธารณะ
ด้วยความเคารพต่อคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กสทช. ซึ่งมี ศ.พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล เป็นประธาน โดยมีอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นอนุกรรมการ สภาผู้บริโภคขอสนับสนุนการทำงานของ กสทช.พิรงรอง และนพ.ประวิทย์ โดยที่ผ่านมา ทั้งสองได้ทำหน้าที่ของตนเองเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการภายใต้การกำกับของ กสทช. ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนญ
อนึ่ง การขาดองคกรประกอบของกรรมการที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค อาจทำให้เกิดผลกระทบด้านลบจากการพิจารณาวาระต่างๆ ที่มีผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา