
‘ศาลปกครองนครศรีธรรมราช’ สั่งเพิกถอนขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ‘เกาะเต่า’ เฉพาะส่วนที่ทับซ้อน ‘ที่ดิน’ ที่ราษฎรครอบครอง
...........................
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ศาลปกครองนครศรีธรรมราช พิพากษาให้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.588 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฉพาะส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินที่ราษฎรครอบครอง
โดยศาลปกครองนครศรีธรรมราช พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมราชทัณฑ์ใช้ประโยชน์พื้นที่เกาะเต่าเป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (กระทรวงการคลัง) ครอบครอง โดยอาศัยผลแห่งกฎหมาย ตามมาตรา 1304 (3) ประกอบมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 ดังนั้น ที่ดินที่จะถือเป็นที่ราชพัสดุนั้นต้องเป็นพื้นที่ที่หน่วยงานราชการได้เข้าใช้ประโยชน์จริง
เมื่อกรมราชทัณฑ์ได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินที่กรมราชทัณฑ์ได้เข้าใช้ประโยชน์ คือ เรือนจำที่ใช้กักขังกบฏบวรเดชที่ย้ายมาจากเกาะตะรุเตาในปี พ.ศ.2486 มายังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับความมั่นคงและเพื่อความสงบเรียบร้อยแห่งรัฐ
ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในการเข้าใช้พื้นที่บริเวณเกาะเต่าเพื่อกักขังนักโทษกบฏบวรเดชนั้น มีการลําเลียงนักโทษและการขนส่งเสบียงอาหารเครื่องใช้ต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่และนักโทษที่เรือนจำเกาะเต่าต้องใช้การขนส่งทางเรืออย่างเดียว ดังนั้น จึงถือว่าบริเวณท่าเรือที่ใช้ขนส่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรือนจำ ที่มาจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินของกรมราชทัณฑ์
นอกจากนี้ เมื่อปรากฏหลักฐานในสํานวนคดีว่า ในการคุมขังนักโทษการเมืองนั้น กรมราชทัณฑ์ได้มีการสร้างเรือนจำขึ้นมาประกอบด้วยพื้นที่ทำการเรือนจำ เรือนขัง โรงเลี้ยงอาหาร โรงหุงต้มอาหาร ถังหล่อคอนกรีตใส่น้ำอาบ ส้วมที่พักพัศดี ครัวพัศดี ที่พักนายร้อยตำรวจ ครัวนายร้อยตำรวจ ห้องแถวที่พักผู้คุม ครัวผู้คุม ห้องพักนายสิบตำรวจ ครัวนายสิบ ห้องพักพลตำรวจ ครัวพลตำรวจ สถานีตำรวจ กำแพงเรือนจำ ป้อมยามตำรวจ และถังน้ำคอนกรีตเก็บน้ำฝน
และในการคุมขังนักโทษการเมืองในปีแรก ได้มีการปล่อยให้นักโทษการเมืองออกไปนอกเรือนจำในเวลากลางวัน และกลับมานอนในเวลากลางคืน จึงคาดการได้ว่าพื้นที่โดยรอบเรือนจำเกาะเต่าซึ่งปัจจุบัน คือ หมู่ที่ 2 คือ พื้นที่ที่นักโทษได้ออกไปนอกเรือนจำในเวลากลางวัน จึงเห็นว่าพื้นที่ท่าเรือปัจจุบันและพื้นที่หมู่ที่ 2 เป็นที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่าจากการใช้ประโยชน์ของส่วนราชการเช่นกัน ที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่าตามทะเบียนที่ราชพัสดุ หมายเลข 34 จึงมีพื้นที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว
ต่อมา เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมธนารักษ์) ได้มีการปรับปรุงทะเบียนที่ราชพัสดุ หมายเลข 34 ให้เป็นรูปแบบ ทบ.9 เป็นแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.588 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว จึงย่อมมีพื้นที่เดียวกัน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมธนารักษ์) ใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงเกาะเต่าเฉพาะในบริเวณดังกล่าวข้างต้น แต่กลับนําที่ดินแปลงเกาะเต่าขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุทั้งแปลง จำนวน 15,000 ไร่ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการแปรสภาพจากที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ไปเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะตามมาตรา 1304 (3) โดยหลักแล้วนั้นจะเกิดขึ้นจากการหวงห้ามโดยรูปแบบวิธีการตามกฎหมาย และการเข้าใช้ประโยชน์จริงของหน่วยงานราชการ แต่ในบางกรณีการแปรสภาพนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากการกระทำทางปกครอง ซึ่งในกรณีนี้ คือ การสมัครใจที่จะเข้าทำสัญญาเช่าที่ดินกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่
ดังนั้น หากปรากฏว่าได้มีราษฎรในเกาะเต่าได้มีการทำสัญญาเช่ากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (สำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี 4) โดยสมัครใจ ที่ดินดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นที่ราชพัสดุตามรูปแบบการกระทำทางปกครอง ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดี (นายประสิทธิ์ อินทร์ฮะ) เป็นผู้ครอบครองที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ครอบครองเดิม ซึ่งได้ครอบครองที่ดินในพื้นที่เกาะเต่ามาก่อนปี พ.ศ.2497 และไม่ใช่พื้นที่ที่กรมราชทัณฑ์ได้มีการก่อสร้างเรือนจำเกาะเต่ากักขังนักโทษการเมือง
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมธนารักษ์) ได้นําที่ดินบริเวณเกาะเต่าทั้งแปลงมาขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.588 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎรธานี จึงเป็นการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง เป็นผลทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถใช้สิทธิในที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครองที่ดินตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้
และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ดำเนินการตามประกาศจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรื่อง การจัดให้ราษฎรที่อยู่อาศัยทำกินในที่ดินเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน เช่าที่ราชพัสดุ โดยให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุทับซ้อนเช่าที่ดินกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
พิพากษาให้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.588 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่า เฉพาะส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ดำเนินการตามประกาศจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรื่อง การจัดให้ราษฎรที่อยู่อาศัยในที่ดินเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน เช่าที่ราชพัสดุ ในส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดี (นายประสิทธิ์ อินทร์ฮะ) ฟ้องว่าผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ครอบครองที่ดินบนเกาะเต่าเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 21 ตารางวา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยครอบครองที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ครอบครองที่ดินเดิม ปัจจุบันผู้ฟ้องคดีใช้ที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อการเกษตร ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และเป็นบ้านพักอาศัย
แต่ที่ดินแปลงเกาะเต่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมธนารักษ์) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุทั้งแปลง โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ (อธิบดีกรมธนารักษ์ ,กรมธนารักษ์ ,กระทรวงการคลัง และสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี) กล่าวอ้างว่า ที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่าปรากฏตามหลักฐานการขึ้นทะเบียนที่ดินราชพัสดุ หมายเลข 34 อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า กรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการผู้ใช้ประโยชน์เป็นผู้นําส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ระบุการครอบครองใช้ประโยชน์ทั้งเกาะเต่าเป็นที่คุมขังนักโทษมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2476
ต่อมาได้มีการประกาศพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 โดยนายครรชิต พัฒนศรี ได้แจ้งการครอบครองที่ดินเกาะเต่าทั้งเกาะแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 1 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2498 และในปี พ.ศ.2523 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีการปรับปรุงทะเบียนที่ราชพัสดุ หมายเลข 34 ให้เป็นรูปแบบ ทบ.9 เป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.588 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
การขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว ทำให้ผู้ฟ้องคดีและราษฎรที่อาศัยอยู่บนเกาะเต่า ไม่สามารถนําที่ดินที่ตนครอบครองไปยื่นคําขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินได้ ทั้งที่ได้โต้แย้งตลอดมาว่าได้ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนที่จะมีการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงพิพาท โดยได้มีการร้องเรียนต่อหน่วยงานของทางราชการต่างๆ ตลอดมา จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาล

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา