‘ธปท.’เผยผลสำรวจฯพบ‘ผู้ประกอบการ’1 ใน 3 มี‘สภาพคล่อง’ค่อนข้างตึงตัว แต่ยังทำธุรกิจได้

‘ธปท.’เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจฯ พบผู้ประกอบการ 1 ใน 3 เผชิญภาวะ ‘สภาพคล่อง’ ค่อนข้างตึงตัว แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดำเนินธุรกิจได้

....................................

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจเฉพาะกิจ (BSI Special) เดือน พ.ย.2567 ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 1-24 พ.ค.2567 โดยผลสำรวจฯพบว่า ธุรกิจราว 70% ไม่ได้รับผลกระทบด้านราคาจากการเข้ามาแข่งขันจากสินค้าจีน ทำให้ราคาโดยรวมยังคงเดิม ยกเว้นธุรกิจการค้า การผลิตเหล็กและอโลหะ (ผลิตภัณฑ์เซรามิกและกระเบื้อง) ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากและกว่า 50% ต้องปรับราคาสินค้าลง

ส่วนการส่งออกนั้น ในภาพรวม ธุรกิจประเมินว่ามูลค่าการส่งออกในไตรมาส 2/2567 มีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย โดยในเกือบทุกธุรกิจคาดว่า การส่งออกจะหดตัว สะท้อนจากดัชนี Diffusion Index ที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ยกเว้นธุรกิจผลิตเหล็ก โลหะและยานยนต์ รวมถึงการค้า ที่คาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย

ด้านสภาพคล่อง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทั้งในภาคการผลิตและภาคที่มิใช่การผลิต มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าราว 1 ใน 3 มีสภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัว แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มผลิตอโลหะ (ผลิตภัณฑ์เซรามิกและคอนกรีต) มีสัดส่วนที่เผชิญปัญหาสภาพคล่องและอาจมีผลต่อการดำเนินกิจการ มากกว่ากลุ่มอื่น

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อสถานะสภาพคล่องของธุรกิจนั้น อันดับที่ 1 คือ รายได้ของธุรกิจ ,อันดับ 2 คือ การชำระเงินของลูกค้า ,อันดับ 3 คือ ต้นทุน และอันดับ 4 คือ ภาระดอกเบี้ย

ผลสำรวจฯยังพบว่า กว่า 70% ของธุรกิจมีระดับภาระหนี้สินต่อค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อเดือน ไม่เกิน 10% ทั้งในภาคการผลิตและภาคที่ไม่ใช่การผลิต อย่างไรก็ตาม หากแยกประเภทธุรกิจ พบว่าผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนภาระหนี้สินสูงกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ ธปท.ได้เผยแพร่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือน พ.ค.2567 ซึ่งจัดทำร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย โดยพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือน พ.ค.2567 ทั้งในปัจจุบัน และอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงจากเดือนก่อน จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีพฤติกรรมระมัดระวังการใช้จ่าย