ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้องสมาชิกพรรคก้าวไกล ฟ้อง กกต.ปฏิบัติ 2 มาตรฐานยังไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย เเต่เร่งรีบยื่นยุบพรรคก้าวไกลก่อน 9 เม.ย.2567
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ วันที่ 22 มีนาคม 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่งในคดีที่ เรือเอก ย. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 6 เเละเลขาฯกกต.กับพวกรวม 7 คน คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 58/2567 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา83 พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งพ.ศ. 2560มาตรา69 พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา149 พรป.ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา172
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกพรรค ก้าวไกลคนหนึ่ง จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย โดยที่จำเลยทั้งหก ซึ่งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งและจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีชอบ ระหว่างวันที่17 ม.ค.-18 มี.ค.2567
จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน สืบเนื่องมาจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 1/2567 ในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา
170 วรรคสาม ประกอบมาตรา82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนาย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา170วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา187 หรือไม่ และจำเลย
ทั้งหมดทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่ไม่ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคภูมิใจไทย และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา92 โจทก์ได้ทำหนังสือ และส่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งถึงเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งและหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้พิจารณายื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค ภูมิใจไทยและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคตามกฎหมายดังกล่าว
ซึ่งจำเลยทั้งหมดได้รับทราบความประสงค์ของโจทก์แล้วแต่กลับเพิกเฉยการกระทำของจำเลยทั้งหมดจึงมีเจตนาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีชอบ ไม่ดำเนินการกับพรรค ภูมิใจไทยตามหน้าที่และอำนาจของตน พฤติการณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้เนิ่นช้าเกินสมควรไม่ได้ดำเนินการใดๆ ตามอำนาจและหน้าที่ของพวกตนตามกฎหมายที่จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูให้ยุบพรรค ภูมิใจไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคตาม พรป.ด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 2 แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งเจ็ดมีเจตนาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือเพิกเฉย ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีของนายศักดิ์สยามเลขาธิการพรรค ภูมิใจไทย ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567
ก่อนกรณีของนาย พ. และพรรค ก. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไป เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 จึงเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด ศาลรัฐธรรมมนูญมีมติวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนาย ศักดิ์สยาม เลขาธิการพรรค ภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170วรรคหนึ่ง (5) นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา82 วรรคสอง คือ วันที่ 3 มี.ค.2566
การกระทำกรรมที่สอง เมื่อระหว่างวันที่31 ม.ค.2567 เวลากลางวันต่อเนื่อง ถึงประมาณ 18 มี.ค.2567 จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและกระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐมีเจตนาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากวันที่ 31 ม.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่3/2567
กรณีของนาย ธ. ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตาม มาตรา49 ของรัฐธรรมนูญว่าการกระทำของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องที่1 และพรรค ก้าวไกลผู้ถูกร้องที่2 ที่เสนอ พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566ของพรรค ก้าวไกล ว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ซึ่งต่อมาในวันที่ 1 ก.พ.2567 นาย ร. ในฐานะประชาชนและสมาชิกพรรค พ. ได้ยื่นคำร้อง ต่อสำนักงานของจำเลยทั้งเจ็ดมีเจตนาให้จำเลยส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยยุบพรรค ก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเหตุเพราะกระทำการฝ่าฝืนฝ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และต่อมาในวันที่ 12 ก.ค.2566 นาย ธ. ได้ไปยื่นคำร้องที่สำนักงานตัวแทนของจำเลยทั้งเจ็ดโดยมีเจตนาเดียวกันกับนาย ร. ซึ่งต่อมาในวันที่ 12 มี.ค.2567 จำเลยที่1-6 มีเจตนาร่วมกันโดยลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
โดยจำเลยทั้งหกได้มอบหมายให้จำเลยที่7ในฐานะเลขาคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยไม่โต้แย้งหรือคัดค้าน จึงถือว่ามีเจตนาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับจำเลยที่1-6 และเป็นผู้ไปยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นไปอย่างเร่งรีบขาดความรอบคอบและเป็น พิรุธทำให้จนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำสั่งหรือมติรับคำร้องของจำเลยทั้งเจ็ดไว้พิจารณาแต่อย่างใดการกระทำดังกล่าวข้างต้นของจำเลยทั้งเจ็ดจึงไม่มีความสุจริตและโปร่งใสเที่ยงธรรมเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้ผู้หนึ่งผู้ด คือ โจทก์ หรือสมาชิกพรรค ก้าวไกลคนอื่น ๆได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นความผิดตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งสองห้องเขตหลักสี่ กรุงเทพมหานครศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง ให้นัดฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษา ในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น.