‘ศาลอาญา’ ยังยกคำร้องประกัน-ค้านฝากขัง ‘ตะวัน-แฟรงค์’ เป็นครั้งที่ 4 หลัง ‘ทิชา-พ่อตะวัน’ ร้องขอศาลไม่รับฝากขัง-ปล่อยตัว ขณะที่ ‘กลุ่มมวลชน’ ทำกิจกรรม ‘จุดเทียน’ บนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลง ‘เเสงดาวแห่งศรัทธา’
........................................
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พร้อมด้วยนายสมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ,นายเอกชัย หงส์กังวาน ,น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม ,นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำ และมวลชนจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อยื่นคำแถลงขอให้ศาลพิจารณาไม่รับฝากขัง น.ส.ทานตะวัน หรือ ตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์
นางทิชา กล่าวว่า ปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศมีการคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย โดย 80% เป็นนักโทษเด็ดขาด ส่วนอีก 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าการคุมขัง 20% ดังกล่าว เป็นการคุมขังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเราต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือความสูญเสียมหาศาล
นอกจากนี้ อยากย้ำว่าสิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คนจำนวน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ของ น.ส.ตะวัน น.ส.แบม ,น.ส.บุ้ง นายแฟรงค์ และนักกิจกรรมทางการเมืองคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา และเขาก็สงสัยในระบบเหล่านี้ มันเป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนที่เกิดก่อนด้วยซ้ำ
นางทิชา กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าทุกคนรู้สึกว่าระบบยุติธรรมของไทยตอนนี้กำลังเดินทางเข้าสู่วิกฤติศรัทธา ดังนั้น การต่อสู้ของเด็กๆทั้งหมด เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกอย่างเราต้องไม่อยู่เฉย และถ้าทุกคนรู้สึกว่าการอดอาหารประท้วงของพวกเขาเป็นการตัดสินใจกันเอง และถ้าอยากสาปแช่งให้เด็กเหล่านี้ติดคุกและเสียชีวิต เเละถ้าพวกคุณรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการท้าท้ายอำนาจรัฐของเด็ก เราก็อยากบอกว่าพวกคุณกำลังลดทอนคุณค่าของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
“ถ้าในอนาคตกฎหมายยังไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดี วันนั้นอาจเป็นชะตากรรมของลูกหลานของพวกคุณก็ได้ที่เจอกฎหมายไม่เป็นธรรม สรุปแล้วการประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของตะวัน แฟรงค์และบุ้ง โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ต้องการระบบที่มันยุติธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของเด็กๆในนาทีนี้มันเข้าสู่สัญญาณอันตราย ตนและคนข้างนอกไม่อาจอยู่เฉยได้แม้ผลจะเป็นอย่างไร
การที่เรามาที่ศาลเพราะยังเหลือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จึงหวังว่าจะยังคงมีผู้พิพากษาที่มีความเป็นมนุษย์ในสถาบันแห่งนี้จะกล้าหาญพอที่จะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะในอดีตเรามีประวัติศาสตร์บาดแผลมามากมายแล้ว นี่จึงเป็นอีกครั้งที่เราจะเลือกว่าจะสร้างประวัติศาสตร์บาดแผลหน้าใหม่ หรือจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นระบบที่เหมาะสมอยู่ร่วมกันได้” นางทิชา กล่าว
นางทิชา ระบุด้วยว่า “แม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ไม่น่ารัก แต่คำถามคือมันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะใช้กฎหมายตั้งข้อหาอย่างรุนแรงขนาดนี้ ตนขอถามว่าพวกคุณตอนเด็กน่ารักทุกวันหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ลูกหลานในบ้านคุณน่ารักทุกวันนี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากในสถาบันนี้จะมีความกล้าหาญที่จะช่วยชักฟืนออกจากกองไฟก่อนที่เราจะสูญเสียมากไปกว่านี้”
ด้านนายนภสินธุ์ หรือสายน้ำ กล่าวว่า นอกจากวันนี้ทางป้ามลจะยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อคัดค้านการฝากขัง ยังมีคุณพ่อของตะวันที่มายื่นขอประกัน เพราะเขาห่วงลูกสาวมาก นอนไม่หลับ และจะอยู่ฟังผลของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นางทิชาและนายสมหมาย บิดาของตะวันได้ขึ้นไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญาพร้อมร้องเพลงเเสงดาวแห่งศรัทธา จากนั้น รปภ. ได้ขอความร่วมมือให้ทั้งหมดไปจุดเทียนที่ด้านนอกบริเวณศาล ต่อมาได้เคลื่อนไปยังพื้นที่อนุญาตและจุดเทียนพร้อมร้องเพลงเพื่อมวลชน
นอกจากนี้ เมื่อช่วงเวลา 09.30 น. ได้มีเยาวชนหญิง ‘น้องหยก’ ใช้ลิปสติกสีแดงเขียนลงบนเสาหน้าศาลอาญาด้วยอักษร ค. ก่อนที่มวลชนโดยรอบจะขอให้น้องหยกยุติการกระทำดังกล่าวและนำผ้ามาเช็ดทำความสะอาด จากนั้นน้องหยกได้เดินไปยังบริเวณด้านหน้าศาลและใช้ลิปสติกแท่งเดิมเขียนลงบนพื้นปูนว่า “ศาลส้นตี_” และมวลชนก็ได้มาห้ามปรามการกระทำดังกล่าวพร้อมเช็ดทำความสะอาดให้อีกครั้งก่อนที่น้องหยกและเพื่อนชายจะนั่งรถยนต์ส่วนบุคคลออกไป
ต่อมานายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ได้ยื่นคำร้องประกอบหลักทรัพย์ขอประกัน ตะวันกับเเฟรงค์ อีกครั้ง โดยศาลอาญาได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการไต่สวนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 ศาลมีคำสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จในการฝากขังครั้งนี้ แม้ผู้ต้องหาทั้งสองมีอาการวิกฤติตามที่ผู้ร้องอ้าง แต่เมื่อผู้ร้องทั้งสองอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตกรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องและผู้ต้องหาทราบ
ทั้งนี้ การยกคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอปล่อยตัวชั่วคราว น.ส.ตะวันและนายเเฟรงค์ ดังกล่าว นับเป็นการยกคำร้องฯเป็นครั้งที่ 4 แล้ว