‘สภาผู้บริโภค’ จี้ ‘สมอ.’ สั่งเรียกเก็บ ‘หมวกกันน็อก’ ตกมาตรฐานออกจากตลาด ‘ทันที’ หวังยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค ขณะที่ ‘ไรเดอร์’ แนะรัฐลงโทษ 'ร้านจำหน่าย' หมวกกันน็อกตกมาตรฐาน
.......................................
เมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) เปิดเผยในรายการ ‘เราไม่ได้บริโภคหญ้าเป็นอาหาร’ ในหัวข้อ ‘ถูกและดีมีจริง : เลือกหมวกกันน็อกได้มาตรฐานใช้ป้องกันชีวิต’ ว่า ขณะนี้มีความไม่ปลอดภัยในชีวิตเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนที่พบว่าในแต่ละวันนั้น ผู้เสียชีวิตมากกว่า 70% เกิดจากการขับขี่จักรยานยนต์ ดังนั้น หากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมใส่หมวกกันน็อกได้มาตรฐานก็จะช่วยรักษาชีวิตได้
น.ส.สารี ยังระบุว่า ในช่วงต้นปี 2566 สภาผู้บริโภคได้ร่วมกับนักวิชาการจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติทดสอบมาตรฐานของหมวกกันน็อกที่จำหน่ายในท้องตลาดจำนวน 25 ตัวอย่าง พบว่ามีหมวกกันน็อก 11 ตัวอย่างตกมาตรฐานและหมวกน็อกเด็กจำนวน 5 รุ่นตกมาตรฐานทั้งหมด
ทั้งนี้ หลังจากที่ทดสอบแล้ว สภาผู้บริโภคได้ส่งผลการทดสอบให้สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ที่กำกับเรื่องนี้และนำข้อมูลดังกล่าวส่งต่อให้ผู้ประกอบการ และขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้เรียกเก็บหมวกกันน็อกที่ตกมาตรฐานออกจากท้องตลาดทั้งหมด
“ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้ขอความร่วมมือจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หรือแม้แต่หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งบริษัทกลางจัดหาหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานให้กับผู้บริโภค ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจาก สมอ. ที่นำข้อมูลไปให้ผู้ประกอบการดำเนินการปรับปรุงคุณภาพสินค้าที่ตกมาตรฐาน และเอาสินค้าที่ตกมาตรฐานออกจากท้องตลาด ทำให้การคุ้มครองผู้บริโภคยกระดับมากขึ้นและเข้มแข็งมากขึ้น” น.ส.สารี กล่าว
ด้าน นายเศรษฐลัทธ์ แปงเครื่อง ผู้เชี่ยวชาญศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ทีมวิจัยที่ดำเนินการทดสอบหมวกกันน็อกได้หารือกับ สมอ. และมีข้อเสนอให้เพิ่มกระบวนการในการตรวจสอบหลังจากสินค้าได้รับมาตรฐานแล้ว แม้ สมอ.มีขั้นตอนนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดงบประมาณต่างๆ ทำให้ สมอ. ใช้วิธีการสุ่มตรวจจากบริษัทผู้ผลิตแล้วนำมาทดสอบซ้ำ
ดังนั้น ทีมวิจัยจึงได้มีข้อเสนอไปว่า สมอ.ควรสุ่มตรวจ โดยการเลือกซื้อจากชั้นวางสินค้าของร้านค้า เพราะจะทำให้เห็นว่ามีหมวกกันน็อกไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดมากน้อยเพียงใด
“ทีมวิจัยยังเสนอในเรื่องของระยะเวลาในการปรับปรุงมาตรฐานของหมวกกันน็อกให้สั้นลงและบ่อยขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้หมวกกันน็อกที่มีมาตรฐานมากขึ้นได้ทันท่วงที เนื่องจากปกติมาตรฐานที่ใช้อยู่นั้นเป็นการใช้มาตรฐานที่อ้างอิงกับมาตรฐานสากลจากต่างประเทศ และมีการปรับปรุงมาตรฐานตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งใช้ระยะเวลานานในการปรับปรุงมาตรฐานของหมวกกันน็อกจนทำให้การผลิตหมวกกันน็อกตกมาตรฐานได้” นายเศรษฐลัทธ์กล่าว
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวนศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการตรวจสอบมาตรฐานของ สมอ. ที่มีการตรวจสอบมาตรฐานก่อนวางตลาด แล้วออกเครื่องหมายมาตรฐานเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถใช้ได้ตลอดไป
นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นหมวกกันน็อกที่ติดเครื่องหมาย มอก. แต่ไม่ผ่านการทดสอบ และนำมาหลอกหลวงผู้บริโภคนั้น หากมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุจากการใช้หมวกกันน็อก ก็ต้องเรียกร้องตามกฎหมายความรับผิดทางผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความเข้มแข็งของระบบความปลอดภัยให้มากขึ้น
ส่วนมาตรฐานของหมวกกันน็อกเด็ก รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้โดยสารจักรยานยนต์ จึงยังไม่มีมาตรฐานหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก โดยหมวกกันน็อกที่จำหน่ายในท้องตลาดทุกวันนี้ไม่มีหมวกกันน็อกสำหรับเด็กอายุน้อยสุดที่พอจะใส่ได้และเป็นหมวกที่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมของบางบริษัทอยู่ที่อายุ 2 ปี ต่ำกว่านั้นไม่มีและมีเพียงบางบริษัทที่ผลิตหมวกขนาดเล็ก ทำให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีหาซื้อหมวกกันน็อกยาก
ดังนั้น กฎหมายที่ไม่ได้กำหนดอายุขั้นต่ำ รวมทั้งการยอมรับว่าคนจน คนรายได้น้อยต้องใช้รถจักรยานยนต์และต้องเอาเด็กขึ้นจักรยานยนต์ จึงเสี่ยงอันตรายอย่างมาก
น.ส.สุภาภรณ์ พันธ์ประสิทธิ์ ซึ่งประกอบอาชีพขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือไรเดอร์เสื้อหลากสี ย่านรัชดา กรุงเทพฯ กล่าวว่า อาชีพไรเดอร์จำเป็นต้องสวมหมวกกันน็อกนานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้เพื่อนร่วมอาชีพหลายคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพเส้นเลือดตีบในสมอง และหลายคนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทำให้เห็นว่าการใส่หมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานจะช่วยป้องกันชีวิตได้
“เคยเกิดอุบัติเหตุ ตัวลอย ศีรษะกระแทกแล้วสลบทั้งหมวกกันน็อกประมาณ 5 นาที มีพลเรือนดีเข้ามาช่วยเหลือและแกะหมวกกันน็อกออกทำให้ฟื้นขึ้นมา ถ้าวันนั้นไม่ได้ใส่หมวกกันน็อกที่มีมาตรฐานคงจะเสียชีวิตไปแล้วและไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ขนาดหมวกกันน็อกเต็มใบยังทำให้เรามึนได้ แต่ถ้าไม่ใส่คงถึงชีวิต” สุภาภรณ์ กล่าว
น.ส.สุภาภรณ์ กล่าวว่า การใช้หมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานมีความสำคัญมาก ดังนั้นการเลือกซื้อหมวกกันน็อกของไรเดอร์จึงเลือกใช้หมวกกันน็อกที่มีมาตรฐาน แต่ก็มีของปลอมระบาดจำหน่วยในช่องทางออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กหรือติกตอกซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าของจริงหรือของปลอม แม้จะมีตราสัญลักษณ์ มอก. ก็ตาม
ดังนั้น จึงอยากฝากถึงผู้ประกอบการและร้านค้า ให้มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าผลิตหรือขายหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐาน เพราะการนำเข้าของปลอมที่ราคาถูกมาจำหน่ายในราคาปกติถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และทำให้เสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบร้านค้า ตรวจสอบแหล่งผลิต และออกกฎหมายเข้มงวดกับของปลอมและของหนีภาษีนำเข้า
ขณะที่ นายศุภชัย พูนพิมะ ซึ่งประกอบอาชีพไรเดอร์ ไลน์แมน กล่าวว่า เคยประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเ แต่โชคดีที่ใส่หมวกกันน็อกจึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก โดยตอนนั้นรถเสียหลักและล้มแต่ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบที่มีเครื่องหมาย มอก. จึงรอดมาได้ ตั้งแต่นั้นมาก็คิดว่าการใส่หมวกกันน็อกสำคัญมาก ถ้าไม่ได้ใส่อาจกระทบกระเทือนที่สมองได้
ส่วนการเลือกซื้อหมวกกันน็อกนั้น ศุภชัย กล่าวว่า อยากให้ไรเดอร์คนอื่นๆ ดูที่สัญลักษณ์ มอก. มาคู่กับคิวอาร์โค้ดที่อยู่ด้านหลังของหมวกกันน็อก แต่ก็ต้องตรวจสอบให้ดีๆ เพราะบางร้านค้ายังจำหน่ายหมวกกันน็อกที่ไม่ได้มาตรฐานมีทั้งของปลอมและของแท้ ซึ่งต้องใช้โทรศัพท์มือถือในการสแกนคิวคาร์โค้ด เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้มั่นใจแล้วค่อยซื้อ
อย่างไรก็ตาม อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสุ่มตรวจสอบตามร้านค้าต่างๆ ว่า จำหน่ายหมวกกันน็อกที่ผ่านมาตรฐานหรือไม่ และอยากให้มีบทลงโทษด้วย ไม่เช่นนั้น ก็จะยังนำเอาหมวกกันน็อกที่ตกมาตรฐานหรือของปลอมมาจำหน่ายอยู่เรื่อยๆ