ประธานเครือข่ายอนุรักษ์พื้นที่อ่าวไทย-อันดามัน ยื่นหนังสือร้อง ดีเอสไอ-รมต.ยุติธรรม กรณีนายทุนฉายา 'ฮิตเลอร์' ใช้อิทธิพลรุกพื้นที่ป่าสงวน-ป่าอุทยาน ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการค้า และพัฒนาครอบครองเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ด้าน อีเอสไอรับเรื่องไว้เพื่อทำการสืบสวนแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566 นายจำรูญ เกิดดำ ประธานเครือข่ายอนุรักษ์พื้นที่อ่าวไทย-อันดามัน เปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาเครือข่ายได้นัดหมายพบกันและให้กำลังใจสมาชิกเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช-ภูเก็ต-พังงา เพื่อการผนึกกำลังกันสืบค้นตรวจสอบพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลที่มีฉายา ว่า 'ฮิตเลอร์' โดยเครือข่ายได้ช่วยกันเก็บข้อมูลรายละเอียดที่ผู้มีอิทธิพลรายนี้ใช้การครอบครองพื้นที่ป่า ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอุทยาน จากการขอประทานบัตรเหมืองแร่ และเมื่อหมดประทานบัตรเหมืองแร่ ก็มีการครอบครองพื้นที่ต่อมีการปลูกผลอาสิน ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้สัก ไม้ตะเคียนทอง ทุเรียน และไม้ผลอื่นๆ หลังจากนั้นได้นำที่ดินเล่านี้ไปขอออกเอกสารสิทธิ์ทั้งในนามชื่อตัวเอง ชื่อคนในครอบครัว และชื่อบริวาล หลังจากที่ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินได้แล้ว ก็โอนที่ดินเล่านั้นเป็นชื่อตนเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พังงา และ ภูเก็ต
นายจำรูญ กล่าวอีกว่า เครือข่ายนี้ไม่ได้มีเฉพาะประชาชน เอกชน แต่มีข้าราชการน้ำดีมือสะอาดที่ต่อต้านการทุจริต เป็นสมาชิกสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องรักษาทรัพย์ของแผนดินด้วยกัน ตัวอย่างของผู้มีอิทธิพลฉายา ฮิตเลอร์ มีพนักงานอัยการท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า เป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริงที่มีพฤติกรรมทำลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด น่าจะเข้าข่ายการทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการค้า ซึ่งน่าจะต้องร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีกับบุคลผู้นี้ ในข้อกล่าวหาว่าทำผิดคดีอาญาและฟอกเงิน พฤติกรรมของนายฮิตเลอร์ อาศัยช่วงว่าง ระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ บางรายในหน่วยงานนั้น และในบางกรณีได้ใช้ ขบวนการยุติธรรมในการฟอกเอกสารสิทธิ์และขบวนการการออกเอกสิทธิ์
นายจำรูญ กล่าวเพิ่มเติมว่าได้รวบรวมเรื่องต่างๆและพฤติกรรมของผู้ที่รับฉายา ว่า ฮิตเลอร์ ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามคำแนะนำของพนักงานอัยการ โดยได้ยืนเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผ่าน ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และได้ยืนหนังสือต่อกระทรวงยุติธรรมผ่านศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรม เนื่องจากมีความเชื่อว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปัจจุบันนี้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของกฎหมายป่าไม้ที่ดิน และ เคยดำรงตำแหน่ง อธิบดกีกรมสอบสวนคดีพิเศษมาก่อนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จากในอดีต เช่น การปราบปรามดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพลในการออกเอกสารสิทธิ์มิชอบตั้งแต่สมัยท่านเป็นตำรวจที่กองปราบปราม ที่จังหวัดภูเก็ต หลังจากที่ท่านโอนมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีผลงานในการปราบปรามมาเฟียต่างชาติ ที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่ชื่อว่า แก๊งแบนดิโดด ปราบปรามผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่เป็นนักการเมืองชื่อดัง ที่ออกเอกสารสิทธิ์ทับป่ากะปง จ.พังงา ปราบปรามแก๊งนายทุนชาวต่างชาติที่ ฉายา วาเลนติโน ที่บุกรุกออกเอกสารสิทธิ์ทับพื้นที่ป่าในพื้นที่ เกาะยาว จังหวัดพังงา จนศาลพิพากษาจำคุกเครือข่ายของวาเลนติโน ทั้งครอบครัว และตัววาเลนติโน เองได้หนีกลับประเทศตัวเอง และไปเสียชีวิตที่บ้านเกิด ปัจจุบัน ยังทิ้งร่องรอยการบุกรุกครอบครองออกเอกสารสิทธิ์ทับป่าและฟอกเงินไว้หลายแห่งทั้งอำเภอเกาะยาว จ.พังงา และ อ.ถลาง อ.เมือง จังหวัดภูเก็ต
"ผมไม่เห็นด้วยกับการให้กลุ่มทุนรุกป่าและเอาป่ามาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แต่เห็นด้วยกับการให้คนอยู่กับป่าและทำมาหากินกับป่าที่มีลักษณะเป็นชาวบ้าน หลายพื้นที่ปัจจุบันมีการเอาป่ามาเป็นของตัวเองและอ้างว่าเพื่อการทำกิน แต่ความเป็นจริงฮุบป่าไว้เพื่อต้องการซื้อขายเปลี่ยนมือและผู้ที่บุกรุกครอบครองป่าในเมืองท่องเที่ยวดัง อย่างเช่น เกาะสมุย เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี เกาะยาว จ.พังงา เกาะลันตา จ.กระบี่ เกาะภูเก็ต จ.ภูเก็ต ไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นสภาพของนายทุนทั้งสิ้น ผมจึงคาดหวังว่า รัฐมนตรียุติธรรมที่ ชื่อ ทวี สอดส่อง จะทำให้ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่ดินรัฐลดลง และมีความคาดหวังว่านายทุนต้องออกจากป่า ชาวบ้านได้ทำมาหากินกับป่าและรักษาสมดุลของป่าไว้เพื่อความมั่นคงทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศน์ภูเขา นิเวศน์ทะเล ที่เป็นต้นทุนทางการท่องเที่ยว" นายจำรูญ กล่าว
ด้าน ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ได้รับหนังสือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้มีพฤติกรรมที่บุกรุกครอบครองพื้นที่ป่า จากประทานบัตรเหมืองแร่ดีบุก และพัฒนามาครอบครองเอกสารสิทธิ์ที่ดิน จากเครือข่ายอนุรักษ์พื้นที่อ่าวไทย-อันดามัน จึงรับไว้เพื่อทำการสืบสวน ตามนโยบายของ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ให้นโยบายในการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลและผู้ที่มีพฤติกรรมทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ที่ทำกันเป็นขบวนการ ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง หากเรื่องนี้สืบสวนแล้วพบว่าเป็นการกระทำผิดตามพฤติกรรมที่ร้องเรียนร้องทุกข์จริงน่าจะเข้าข่ายผู้มีอิทธิพลระดับภาค เนื่องการบุกรุกยึดถือ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เข้าข่ายนิยามการเป็นผู้มีอิทธิพล