กสม. ชง พม. แก้ไขกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวแนะบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานให้รวดเร็วและเป็นระบบ- เสนอสภาวิชาชีพสื่อ-สตช. กำกับดูแลการนำเสนอข่าวอาชญากรรมและข่าวที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเด็กโดยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว หลังเหตุสื่อทำข่าวลุกล้ำความเป็นส่วนตัว ปมข่าวเด็กปืนลั่น ก.ย. 65
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 28/2566 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
1. กสม. ชง พม. แก้ไขกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พัฒนากลไกป้องกันและแก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเหยื่ออย่างทันท่วงที
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่ง ระบุว่า สื่อมวลชนได้นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เช่น กรณีพ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยง อายุ 8 ปี ทำให้ร่างกายของเด็กบอบช้ำหนัก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา และกรณีหญิงวัย 29 ปี (ผู้เสียหาย) ฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีกับพี่เขยซึ่งก่อเหตุข่มขืนผู้เสียหาย สะท้อนให้เห็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมไทย โดยเป็นผลสืบเนื่องจาก
(1) การไม่มีกลไกในการติดตามสอดส่องครอบครัวที่มีสัญญาณการใช้ความรุนแรง เพื่อเข้าแทรกแซงและป้องกันความรุนแรงได้อย่างทันท่วงที
(2) กลไกจำแนก คัดกรอง และติดตามการรักษาของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะติดตามเฝ้าระวังในระดับชุมชน
(3) คดีที่เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ยังพบข้อจำกัดที่ทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพโดยพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างทันท่วงที และ
4) กลไกคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดการกำหนดมาตรการรองรับการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยเหตุผลข้างต้น ผู้ร้องจึงประสงค์ให้ กสม. มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาข้างต้นอย่างเป็นรูปธรรมและ
มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กสม. พิจารณาข้อเท็จจริง บทบัญญัติของกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน เอกสาร งานวิจัย และความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องแล้ว
เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รัฐมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งให้การบำบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำการดังกล่าว
ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 บัญญัติให้การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม อันสอดคล้องตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ขณะเดียวกัน อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ก็ได้รับรองสิทธิของผู้หญิงและผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวให้ได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยด้วย
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) ปรากฏว่า ตั้งแต่ปี 2560 - 2565 มีผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสถิติของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 ปรากฏว่ามีผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับบริการประมาณ 15,000 ราย ซึ่งเป็นเพศหญิงมากที่สุด
โดยพบอุปสรรคและข้อจำกัดป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เช่น ความซ้ำซ้อน ในการดำเนินงานของหลายหน่วยงาน ทั้งในระดับส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่นหรือชุมชน
โดยไม่มีฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทำให้การจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับเหตุการณ์และจำนวนผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกันและไม่สอดคล้องกับสภาพความจริงที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ และการขับเคลื่อนนโยบายในทางปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านความพร้อมของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทำ ด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ซึ่งมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณงาน อุปสรรคจากทัศนคติดั้งเดิมของคนในสังคมที่มักมองว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวที่บุคคลภายนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์ไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุ ขณะที่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเองก็ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเพื่อขอความช่วยเหลือตามกฎหมาย
แม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยเน้นให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสกลับตัวและยับยั้งการกระทำความผิดซ้ำ เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีและความมั่นคงของสถาบันครอบครัว และกำหนดให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้
โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลตั้งผู้ประนีประนอม เพื่อช่วยเหลือไกล่เกลี่ยให้ยอมความ หรือมอบหมายให้นักสังคมสงเคราะห์ หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลใดช่วยเหลือไกล่เกลี่ยให้ยอมความกันก็ได้ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงอย่างแท้จริง จึงสมควรพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้สามารถปกป้องคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่24 กรกฎาคม 2566 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
(1) ให้กระทรวง พม. จัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะการออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกัน ยับยั้ง และแก้ไขปัญหา
ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
(2) ให้กระทรวง พม. กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันพัฒนาระบบงานและปรับปรุงฐานข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว โดยบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกลไกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นหรือชุมชน ซึ่งอาจกำหนดให้กระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน และจัดอบรมให้ความรู้และพัฒนาทักษะผู้ปฏิบัติงานระดับชุมชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ด้วย
(3) ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการพัฒนาระบบงานและการบริการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว และจัดเก็บข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์ พร้อมประวัติของผู้ป่วยกรณีสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวให้ครบถ้วน เป็นระบบ และมีมาตรฐานเดียวกัน และจัดอบรมพัฒนาศักยภาพและซักซ้อมแนวปฏิบัติตามมาตรฐานในกระบวนการปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวให้แก่บุคลากรด้านสาธารณสุข
(4) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับปรุงระเบียบและแนวทางการปฏิบัติงานเกี่ยวกับกรณีการสอบสวนคดีความรุนแรงในครอบครัวให้มีรูปแบบและขั้นตอนที่ชัดเจน เป็นระบบ และมีมาตรฐานเดียวกัน อีกทั้งควรเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหญิงและจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและทัศนคติที่
เป็นมิตรในการดำเนินคดีความรุนแรงในครอบครัวให้แก่พนักงานสอบสวนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กสม. ยังมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ไปยังกระทรวง พม. ให้แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 โดยเฉพาะประเด็นการพัฒนาระบบงานของกลไกป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และกลไกส่งเสริมการพัฒนาสถาบันครอบครัว ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นหรือชุมชน ให้มีความเข้มแข็งและบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกมิติ เช่น การเชื่อมโยงฐานข้อมูล การเฝ้าระวัง การรับแจ้งเหตุ การระงับเหตุ การประสานส่งต่อ การให้ความช่วยเหลือ การคุ้มครองผู้เสียหาย การแก้ไขปัญหา การดำเนินคดี และ
การเยียวยาฟื้นฟู ฯลฯ รวมทั้งให้ทบทวนบทบัญญัติที่กำหนดให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่ว่าการพิจารณาคดีดังกล่าวจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด เพื่อให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองและความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเป็นธรรม รวดเร็ว และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
2. กสม. ตรวจสอบกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวอาชญากรรมและข่าวที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว แนะสภาวิชาชีพ-สตช. กำกับดูแล
นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนสืบเนื่องจากการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชนอย่างไม่เหมาะสมสามกรณี กรณีแรกเป็นข่าวเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งทำปืนลั่นเป็นเหตุให้เพื่อนนักเรียนเสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยสัมภาษณ์พยาน ญาติผู้เสียชีวิต และพยายามรุมสัมภาษณ์มารดาของนักเรียนผู้ก่อเหตุโดยที่ไม่ยินยอม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจละเลยให้สื่อมวลชนเข้าไปถ่ายภาพนักเรียนผู้ก่อเหตุและถ่ายภาพผู้เสียชีวิตด้วย กรณีที่สอง การนำเสนอข่าวอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารเด็กและประชาชนจำนวนมากที่จังหวัดหนองบัวลำภูเมื่อเดือนตุลาคม 2565
และกรณีสุดท้ายการนำเสนอข่าวชายหนุ่มฆาตกรรมแฟนสาวที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อเดือนกันยายน 2565 กสม. เห็นว่า ทั้งสามกรณีมีประเด็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเด็กและสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว จึงมีมติเห็นสมควรให้ตรวจสอบ
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 35 แต่การนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาหรือผู้เสียหาย จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ตกเป็นข่าวด้วย โดยเฉพาะสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียงและครอบครัว
ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญและ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมทั้งต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลด้วย
จากการตรวจสอบการนำเสนอข่าวทั้งสามกรณีพบว่า สื่อมวลชนส่วนใหญ่จะปิดบังใบหน้าหรือเบลอภาพของผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ก็พบว่ามีสื่อมวลชนบางสำนักที่นำเสนอข่าวโดยไม่ได้ปิดบังใบหน้าหรือ เบลอภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี เช่น การนำเสนอภาพใบหน้าของเยาวชนจากเหตุการณ์ปืนลั่นที่โรงเรียน
การนำเสนอภาพใบหน้าของญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารเด็กและประชาชนที่จังหวัดหนองบัวลำภู และการนำเสนอภาพใบหน้าของผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ฆาตกรรมที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งได้นำเสนอขั้นตอนและวิธีการฆาตกรรมที่ได้จากการสอบถามผู้ต้องหาโดยละเอียดด้วย
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวบางสำนักยังสร้างความรำคาญและไม่สบายใจต่อมารดาของเด็กนักเรียนที่ทำปืนลั่นด้วยการเดินตามและพยายามสอบถามข้อมูลอันมีลักษณะคาดคั้น ในขณะที่สื่อมวลชนหลายแห่งนำเสนอข่าวเดียวกันนี้ได้โดยปิดบังใบหน้าหรือเบลอภาพของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีภาพความรุนแรง และไม่ซ้ำเติมความทุกข์หรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหายและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ข่าวที่นำเสนอขาดสาระสำคัญหรือไม่ครบถ้วนแต่อย่างใด
กสม. จึงเห็นว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนบางแห่งตามคำร้องทั้งสามกรณีข้างต้น เป็นการใช้เสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นที่กระทบต่อสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวจนเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะที่จะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ตกเป็นข่าว จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิด
สิทธิมนุษยชน ซึ่งข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบปรากฏคลิปวิดีโอข่าวดังกล่าวในสื่อออนไลน์ของสำนักข่าวหลายแห่งด้วย
ที่ผ่านมา กสม. เคยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิจารณาแก้ไขปัญหาแล้ว ซึ่งปรากฏว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้มีหนังสือกำชับหน่วยงานในสังกัดให้กำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่กระทบสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายแล้ว ขณะที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติอยู่ระหว่างระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอข่าว การแสดงความคิดเห็น และภาพข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรม ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อเผยแพร่ให้สื่อมวลชนนำไปใช้ต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
(1) ให้สถานีโทรทัศน์และสำนักข่าวต่าง ๆ ที่เสนอข่าวอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลบคลิปวิดีโอข่าวที่ยังคงอยู่ในระบบออนไลน์ทั้งสามกรณีเพื่อเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ
(2) ให้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในเรื่องสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอข่าวเหตุการณ์รุนแรงสะเทือนขวัญและข่าวที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการนำเสนอพฤติการณ์ก่อเหตุในเชิงลึก รวมถึงต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล อัตลักษณ์ ใบหน้า ของผู้ต้องหา ผู้เสียหาย ผู้สูญเสีย และผู้ที่เกี่ยวข้องจนเกินจำเป็น
นอกจากนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กำชับและผลักดันให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำแนวปฏิบัติในการนำเสนอเนื้อข่าวลักษณะดังกล่าวให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมอย่างเคร่งครัด รวมถึงส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เรื่องการรู้เท่าทันสื่อให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และสนับสนุนให้มีระบบเรตติ้งในเชิงคุณภาพ (Quality Rating) ที่นำไปใช้ในทางปฏิบัติได้จริง
(3) ให้ สตช. กำกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการเสนอข่าวเหตุการณ์รุนแรงสะเทือนขวัญและข่าวที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเด็ก จะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดของพฤติการณ์และแรงจูงใจของการก่อเหตุ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เกี่ยวข้องในคดี และต้องระมัดระวังไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลและพื้นที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ โดยต้องวางแนวกั้นตำรวจ/แถบกันที่เกิดเหตุ (POLICE LINE) เป็นการเฉพาะโดยเร็วเมื่อเกิดเหตุ
(4) ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานองค์การสาธารณกุศลให้กำชับและกำกับดูแลผู้ปฏิบัติการกู้ภัยและอาสาสมัครให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคารพต่อผู้ประสบภัย
โดยประการสำคัญคือต้องไม่ถ่ายภาพอันไม่เหมาะสมอันอาจนำไปสู่การเผยแพร่ต่อสาธารณะ