กสม.ชี้อธิบดีดีเอสไอพร้อมพวกละเมิดสิทธิ ยึดมือถือ จนท.ไปตรวจสอบ อ้างความลับราชการเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว-จี้แก้ไขสภากาชาดไทยแก้ไขแบบคัดกรองรับบริจาคเลือกจากบุคคลข้ามเพศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายพิทักษ์พล บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 25/2566 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
1. กสม. ชี้ กรณีดีเอสไอยึดโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ในสังกัดไปตรวจสอบ หลังพบเอกสารราชการหลุด เป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมกราคม 2566 จากผู้ร้องรายหนึ่งระบุว่า เมื่อเดือนกันยายน 2565 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกับพวก รวม 6 คน ได้เข้ามาที่สำนักเลขานุการกรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในสำนักดังกล่าว ส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนบุคคลพร้อมทั้งให้เขียนชื่อและรหัสผ่าน (password) ให้
โดยแจ้งว่าจะนำไปตรวจสอบเกี่ยวกับคดีพิเศษเป็นกรณีเร่งด่วน และสั่งให้ทำหนังสือยินยอมให้ตรวจสอบข้อมูลด้วย ผู้ร้องเห็นว่า การยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ใช่การปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องกับคดีพิเศษแต่อย่างใด จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้ให้การรับรองสิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัวไว้ การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัว หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
จากการตรวจสอบรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อเดือนกันยายน 2565 อธิบดีและรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าไปที่ส่วนช่วยอำนวยการและประสานราชการ สำนักเลขานุการกรม เนื่องจากพบเบาะแสว่ามีเอกสารราชการซึ่งเป็นหนังสือร้องเรียนข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษถูกถ่ายภาพส่งออกไปให้บุคคลภายนอก
โดยมีการนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่ส่วนงานดังกล่าวไปตรวจสอบ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจงว่า การนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเป็นการกระทำภายใต้ความสมัครใจยินยอม เพื่อตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าลักษณะเป็นความผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว กสม. เห็นว่า อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรม ชอบที่จะใช้อำนาจดำเนินการตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 บัญญัติไว้ โดยสามารถตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ได้หากมีการกระทำความผิดจริง
ทั้งนี้ การเลือกใช้วิธีสืบสวนข้อเท็จจริง ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้จะสามารถระบุตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยให้เหลือน้อยลง และคณะกรรมการทางวินัยยังสามารถเรียกเอกสารหลักฐานและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนได้
ประกอบกับกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน การสืบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ส่งเอกสารราชการให้บุคคลภายนอกจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ
นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ระหว่างนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปตรวจสอบนั้น เจ้าหน้าที่รายหนึ่งได้ยอมรับต่อผู้บังคับบัญชาว่าเป็นผู้กระทำการดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหากดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ย่อมสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ไม่ยาก และการเลือกใช้ขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดจะไม่กระทบสิทธิในความเป็นส่วนตัว และสิทธิในการติดต่อสื่อสารถึงกันของเจ้าหน้าที่อื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเลือกใช้วิธีการนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบย่อมเป็นการกระทำในลักษณะเหมารวมซึ่งเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วน
แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษอ้างว่า การนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกระทำภายใต้ความสมัครใจยินยอมของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานะและการดำรงตำแหน่งบริหารของอธิบดีกับพวก การให้ความยินยอมดังกล่าวน่าเชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความสมัครใจยินยอมอย่างแท้จริง
แต่อาจเป็นเพราะความเกรงกลัวต่ออำนาจบังคับบัญชาที่สามารถให้คุณให้โทษได้ ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกการให้ถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ผู้ถูกตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าไม่ได้สมัครใจยินยอมให้ตรวจสอบแต่อย่างใด ดังนั้นการยินยอมในสถานการณ์เช่นนั้นจึงเป็นเพราะตกอยู่ในสภาวะจำยอม และนำมาสู่การร้องเรียนตามคำร้องนี้
ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเลือกใช้วิธีการนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ โดยไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 จึงกระทบต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่
ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ไม่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และไม่สอดคล้องกับประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือนที่กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนพึงปฏิบัติตนเพื่อรักษาจริยธรรม ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมายและตามทำนองคลองธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การกระทำดังกล่าวของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกับพวก จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 จึงมีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกระทรวงยุติธรรม
โดยให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการกับอธิบดีกรมสอบสวน
คดีพิเศษกับพวก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนข้างต้น
นอกจากนี้ให้กำชับหน่วยงานในสังกัดให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้อำนาจที่อาจกระทบต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัว หรือการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ โดยให้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิความเป็นส่วนตัวเป็นสำคัญด้วย
2. กสม. ตรวจสอบกรณีสภากาชาดไทย ปฏิเสธรับบริจาคเลือดจากหญิงข้ามเพศ แนะแก้ไขแบบคัดกรองความเสี่ยงที่ไม่ตีตราและจำกัดสิทธิผู้บริจาคที่มีความหลากหลายทางเพศ
นายพิทักษ์พล บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนธันวาคม 2563 จากสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ (transgender) รายหนึ่ง ไปบริจาคโลหิตกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย (ผู้ถูกร้อง) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่คัดกรองว่าผู้เสียหายไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ แม้ผู้เสียหายมีใบรับรองผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่เป็นลบ
โดยได้รับแจ้งว่าเนื่องจากกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศเป็นกลุ่มประชากรหลักที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ศูนย์บริการโลหิตฯ จึงปฏิเสธที่จะรับบริจาคโลหิตของบุคคลข้ามเพศ กะเทย ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเป็นการถาวรตามระเบียบของสภากาชาดสากล
สมาคมฯ เห็นว่าการบริจาคโลหิตควรเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะได้รับการคัดกรองโดยไม่เลือกปฏิบัติและไม่ตีตราบุคคลอันเป็นการจำกัดสิทธิและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ข้อ 2 ได้รับรองหลักความเสมอภาคของบุคคล และการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา หรือเหตุใด ๆ จะกระทำมิได้
โดยที่มาตรา 3 ของพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 บัญญัติว่า การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ หมายถึง การกระทำหรือไม่กระทำการใดอันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมโดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการโลหิตฯ ปฏิเสธที่จะรับบริจาคโลหิตของผู้เสียหาย 2 ครั้ง เนื่องจากผู้เสียหายตอบคำถามในแบบฟอร์มคัดกรองการรับบริจาคโลหิตว่า มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงของประวัติด้านเพศสัมพันธ์ที่ศูนย์บริการโลหิตฯ กำหนด และแม้ผู้เสียหายจะตรวจหาเชื้อเอชไอวีอยู่เป็นระยะและมีผลตรวจเป็นลบ
แต่อาจอยู่ในระยะเวลาที่เชื้อเอชไอวีมีระดับปริมาณน้อยมาก ทำให้ตรวจไม่พบเชื้อ และแม้ปริมาณเชื้อในระดับน้อยจะไม่สามารถแพร่ผ่านทางเพศสัมพันธ์ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่แพร่ทางการรับโลหิต ดังนั้น ศูนย์บริการโลหิตฯจึงไม่สามารถนำผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีมาประกอบการรับบริจาคโลหิตได้ และงดรับบริจาคโลหิตในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเป็นการถาวร
ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ หรือคณะกรรมการ วลพ. แล้ว โดย คณะกรรมการ วลพ. มีคำวินิจฉัยเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ว่า การปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตดังกล่าวเข้าลักษณะการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
กสม. เห็นว่า ศูนย์บริการโลหิตฯ ในฐานะที่เป็นธนาคารโลหิตแห่งชาติ มีหน้าที่อยู่บนหลักความรับผิดชอบสูงสุดที่จะต้องคำนึงถึงมาตรฐานและความปลอดภัยของโลหิตที่จะนำไปรักษาผู้ป่วยเป็นประการสำคัญที่สุด
รวมทั้งต้องสร้างสภาวะที่ประกันการบริการทางการแพทย์และการดูแลรักษาพยาบาลอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ จึงเป็นเหตุให้ศูนย์บริการโลหิตฯ ปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตของผู้เสียหาย เนื่องจากผู้เสียหายได้ตอบแบบสอบถามการคัดกรองว่ามีประวัติการมีเพศสัมพันธ์กับชายเพศเดียวกัน
อย่างไรก็ดี การสอบถามประวัติด้านเพศสัมพันธ์สำหรับทุกคน ควรมุ่งถามถึงลักษณะพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงรายบุคคล เช่น การมีเพศสัมพันธ์ผ่านทางทวารหนัก การไม่ใช้ถุงยางอนามัย ในกรณีที่มิใช่คู่ของตน เป็นต้น โดยไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับกลุ่มประชากรหลักที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
นอกจากนี้ ลักษณะคำถามที่ถามประวัติด้านเพศสัมพันธ์ของชายที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชาย อาจเป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อการสื่อสาร ที่ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการตีตรากลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ และสุ่มเสี่ยงต่อการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งสภาพบุคคล ซึ่งอาจจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศไม่ควรถูกปิดกั้นการบริจาคโลหิตเป็นการถาวรอันเนื่องมาจากการประเมินความเสี่ยงด้วยฐานข้อมูลสถิติกลุ่มประชากร หรือพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
โดยทราบว่า ขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตฯ อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านโลหิตของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและศึกษาช่วงเวลางด/เลื่อนการบริจาคโลหิต (deferral period) ที่ปลอดภัยสำหรับชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายผู้มีความเสี่ยงต่ำ
ซึ่งผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวจะนำมาปรับใช้เป็นคำถามในการคัดกรองและประเมินความเสี่ยงในการรับบริจาคโลหิตเป็นรายบุคคลให้สอดคล้องกับแนวทางการคัดกรองการรับบริจาคโลหิตขององค์การอนามัยโลกได้
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สรุปได้ดังนี้
ให้ศูนย์บริการโลหิตฯ ปรับปรุงใบสมัครผู้รับบริจาคโลหิตและคู่มือการคัดเลือกผู้บริจาคโลหิต โดยมุ่งเน้นสอบถามลักษณะพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสำหรับทุกเพศทุกวัย และหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีตามฐานข้อมูลสถิติกลุ่มประชากร
รวมถึงกลุ่มบุคคลหรือกลุ่มอาชีพ นอกจากนี้ให้เร่งรัดการศึกษาวิจัยเพื่อกำหนดช่วงเวลางด/เลื่อนการบริจาคโลหิต (deferral period) ที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และนำผลการศึกษาวิจัยมาใช้ประกอบการพิจารณาผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศให้สามารถบริจาคโลหิตได้ภายใต้เงื่อนไขการกำหนดระยะเวลารอคอย