ประธานคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบ ชี้คลินิกส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต ช่วยสกัดทุจริตโครงการรัฐ หลัง 1 ปี ลงพื้นที่ 230 ครั้ง 67 จังหวัด ใน 12 โครงการ พบกรณีส่อทุจริต 1 เรื่อง ใน 1 โครงการ ซึ่งส่งเรื่องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2564 คณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบ เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการป้องกันและชี้แนะหน่วยงานรัฐพึงระวังการดำเนินงานในโครงการที่อาจเข้าข่ายการทุจริต เพื่อสร้างความโปร่งใสโดยใช้กลไก "คลินิกส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต" และบูรณาการทุกภาคส่วนร่วมมือป้องกันการทุจริต ให้เป็นที่พึ่งของเจ้าหน้าที่รัฐ
รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบ เปิดเผยถึงการประชุมอนุกรรมการป้องกันการทุจริตฯ ครั้งที่ 2 /2564 ว่า วิธีการตรวจสอบจะขับเคลื่อนตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการทุจริตเชิงรุก เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนภารกิจตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2563 ที่เห็นชอบ กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนด โดยให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด พ.ศ. 2563
สำหรับกลไกเฝ้าระวังฯ ดังกล่าว มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ขับเคลื่อนภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดฯ โดยมีคลินิกส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริตเป็นกลไกตามหลัก '5 ส 2 จ' คือ 1.การสอดส่องตรวจเยี่ยมตรวจติดตาม 2.สอบถาม ประสานข้อมูลและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3.เสนอแนะ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ทุกภาคส่วน 4. สงสัยหาข่าวเบาะแสข้อมูลเพื่อมาทำการวิเคราะห์ 5. ส่งข่าวเบาะแสและข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วไปยังส่วนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6. แจ้งเตือนและบริหารความเสี่ยง และ 7. เฝ้าระวังและรับแจ้งเบาะแส
ซึ่งการลงในพื้นที่ของคลินิกฯ จะแตกต่างจากการลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือการปราบปรามการทุจริต เพราะมุ่งเน้นการป้องกันตั้งแต่เริ่มและขณะดำเนินโครงการ โดยคณะทำงานที่ลงในพื้นที่จะดำเนินการ ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ และแจ้งเตือนความเสี่ยงที่อาจเข้าข่ายการทุจริต เพื่อให้ไปปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะเบิกจ่ายงบประมาณ ช่วยลดการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ทำให้โครงการหยุดชะงัก ถือเป็นที่พึ่งของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแท้จริง และไม่ทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหาย
ทั้งนี้ การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเกิดจากบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงายภายใต้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI กระทรวงมหาดไทย รวมทั้ง สภาองค์การชุมชน (สอช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และภาคประชาสังคม ร่วมดำเนินการตั้งแต่ ต.ค. 2563 จนถึงปัจจุบัน
โดยได้ลงพื้นที่ไปให้คำแนะนำถึง 230 ครั้ง 67 จังหวัด ใน12 โครงการ ซึ่งมีงบประมาณรวมกว่า 38,740 ล้านบาท จากการลงพื้นที่ดังกล่าวพบกรณีที่ส่อไปในทางทุจริต 1 เรื่อง ใน 1 โครงการ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยได้ส่งข้อมูลไปยัง ศอตช. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
รศ. ดร. จุรี กล่าวอีกว่า ขณะที่ลงพื้นที่เป็นช่วงอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ จึงยังไม่พบประเด็นที่ส่อไปในทางทุจริตมากนัก พบเพียงการดำเนินการที่ล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ในบางโครงการ หรือกรณีที่ไม่ดำเนินการตามแบบที่กำหนด หรือดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบ ซึ่ง ศอตช. ได้ให้คำแนะนำ และได้แจ้งให้ทำการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนข้อมูลการร้องเรียนมายัง ศอตช.ที่ผ่านช่องทางของ สำนักงาน ป.ป.ท. ข้อมูล ณ 28 ต.ค.2564 มี 21 เรื่อง หน่วยปราบปรามลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว10 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง 11 เรื่อง
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องให้ความร่วมมือร่วมใจ ที่จะไม่กระทำการทุจริตด้วย เพราะหากคลินิกส่งเสริมธรรมาภิบาลฯ ลงพื้นที่แล้วพบขอสงสัย หรือหน่วยงานนั้นๆ ไม่ยอมแก้ไข หรือฝ่าฝืนพยายามกระทำการทุจริต คลินิกฯ ก็จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ส่งไปยัง ศอตช. เพื่อให้หน่วยปราบปรามลงมาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือหากภายหลังมีเรื่องร้องเรียนว่าโครงการใดมีลักษณะส่อไปในทางทุจริต หน่วยปราบปรามของ ศอตช. ก็จะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันที ดังนั้นจึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันในการป้องกันไม่ไห้เกิดการทุจริต
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage