"...วารสารที่ชื่อว่า ‘เซลล์’ ที่เผยแพร่ในช่วงเดือน เม.ย. 2564 ได้มีการระบุว่าการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L452R นั้นจะเพิ่มขีดความสามารถในการแพร่เชื้อได้นั่นเอง ถ้าหากเปรียบเทียวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมแล้ว หมายความว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียนั้นติดต่อได้ง่ายกว่าเดิมมาก และมีรายงานด้วยว่าไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นยังมีความสามารถในการลดสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีที่เป็นกลาง..."
...................
ประเทศอินเดียกำลังเผชิญหน้าการระบาดใหญ่ระลอกที่ 2 ของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศใกล้ที่จะเข้าสู่ภาวะล่มสลาย โรงพยาบาลทั่วประเทศต้องประสบกับปัญหาโรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วยท่ามกลางวิกฤตการณ์ขาดแคลนออกซิเจนทั่วประเทศซึ่งถือเป็นทรัพยากรหลักในการรักษาผู้ป่วยโควิด
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ก็คือ มีการวิเคราะห์ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันจำนวนกว่า 3.8 แสนคนนั้น ยังไม่ใช่จุดที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการติดเชื้อของอินเดีย
ณ เวลานี้ จึงมีการตั้งคำถามกันว่า อะไรเป็นสาเหตุหลักของการระบาดอันเลวร้ายในอินเดียครั้งนี้ หรือเป็นเพราะไวรัสโควิดสายพันธุ์จากอินเดียที่มีความรุนแรงหรือไม่
ล่าสุด สำนักข่าวเดลี่สตาร์ของอินเดีย ได้เผยแพร่รายงานข่าวการแพร่ระบาดไวรัสโควิดระลอก 2 ในประเทศอินเดีย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
@ไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียมีบทบาทแค่ไหน
ธรรมชาติของไวรัสนั้นจะมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งการกลายพันธุ์โดยส่วนมากนั้นจะไม่มีอันตรายมากไปกว่าเดิม
แต่ก็มีในกรณีของการกลายพันธุ์และทำให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นมีการติดเชื้อมากขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้น สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และหลบหลีกวัคซีนได้ดีขึ้นเช่นกัน
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประเทศอินเดีย (อ้างอิงวิดีโอจาก CBC News: The National)
สำหรับกรณีประเทศอินเดียนั้นมีการค้นพบสายพันธุ์ไวรัสโควิดที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า B.1.617 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2563 ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของไวรัสสายพันธุ์นี้คือการกลายพันธุ์คู่ เนื่องจากพบการเปลี่ยนแปลงบนเส้นโปรตีนหนาม 2 เส้น
โดยการค้นพบไวรัสนี้เกิดขึ้นในระหว่างการเก็บตัวอย่างเชื้อโควิดที่รัฐมหาราษฏระในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2564 ซึ่งจากการเก็บตัวอย่างพบว่ามีตัวอย่างโควิดสายพันธุ์อินเดียจำนวนถึง 220 ตัวอย่าง จากตัวอย่างที่เก็บทั้งหมด 361 ตัวอย่าง
จากข้อฐานข้อมูลของจีเซด (GISAID : Global Initiative on Sharing Avian Influenza Data) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ทั่วโลกนั้น พบว่ามีอยู่ 21 ประเทศที่พบไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย โดยมีพาหะ คือ ผู้ที่เดินทางข้ามประเทศตั้งแต่เดือน ก.พ.2564 ที่ผ่านมา
โดยหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศอังกฤษนั้น ได้มีการสืบสวนข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียแล้ว ขณะที่นักวิทยาศาสตร์อินเดียหลายคนก็มีความเชื่อว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียที่ว่านี้อยู่เบื้องหลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่พุ่งขึ้นทั่วประเทศ
สำหรับไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียดังกล่าวนั้นจะมีการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนามอยู่ 2 จุดด้วยกัน จุดแรกคือที่ตำแหน่ง L452R และอีกตำแหน่งอยู่ที่ E484Q โดยการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L452R นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งของไวรัสโควิดสายพันธุ์แคลิฟอร์เนียก่อนหน้านี้
ซึ่งวารสารที่ชื่อว่า ‘เซลล์’ ที่เผยแพร่ในช่วงเดือน เม.ย. 2564 ได้มีการระบุว่าการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L452R นั้นจะเพิ่มขีดความสามารถในการแพร่เชื้อได้นั่นเอง ถ้าหากเปรียบเทียวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมแล้ว หมายความว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียนั้นติดต่อได้ง่ายกว่าเดิมมาก และมีรายงานด้วยว่าไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นยังมีความสามารถในการลดสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีที่เป็นกลาง
นี่จึงเป็นข้อสังเกตว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียน่าจะมีศักยภาพในการทนต่อไวรัสด้วย
ส่วนการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามจุดที่ 2 คือที่ตำแหน่ง E484Q นั้นพบว่ามีความคล้ายคลึงกับการกลายพันธุ์ในไวรัสโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ ที่พบว่ามีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง E484K
แม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่งเดียวกันคือที่ 484 บนโปรตีนหนาม แต่ความแตกต่างของสายพันธุ์อินเดียก็คือการหลั่งกรดอะมิโนที่ไม่เหมือนกัน โดยการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกาใต้นั้น จะมีการแทนที่กรดกลูตามิกด้วยไลซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
แต่ว่าในไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียนั้นกลับพบว่ามีการแทนที่กรดกลูตามิกด้วยกรดกลูตามีน จึงกล่าวได้ว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียมีความคล้ายกับไวรัสสายพันธุ์จากแอฟริกาใต้และสายพันธุ์อังกฤษ แต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด
@ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย มีการกลายพันธุ์อื่นๆอีกกว่า 11 การกลายพันธุ์ด้วยกัน
จากการศึกษาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าไวรัสสายพันธุ์ B.1.617 มีขีดความสามารถในการติดต่อมากกว่าไวรัสดั้งเดิมตามที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ โดยการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการณ์ก่อนหน้านี้ ความสามารถในการติดต่อก็เป็นสิ่งที่ถูกพบได้ในไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกาใต้เช่นกัน
ในบทความวารสาร ‘Nature’ ที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา พบว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษนั้นเป็นสายพันธุ์หลักที่มีการแพร่เชื้อในรัฐปัญจาบ ขณะที่ไวรัสสายพันธุ์ B.1.617 ก็กลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักในรัฐมหาราษฏระเช่นกัน
เนื่องจากทั้ง 2 สายพันธุ์สามารถติดต่อได้ง่าย และมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าไวรัสใหม่ทั้ง 2 สายพันธุ์มีบทบาทสำคัญในการระบาดระลอกที่ 2 ของอินเดีย
ฉากทัศน์หนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียเวลานี้นั้นมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศบราซิลมาแล้วเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา
เมื่อมีการพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ P.1. ที่มีความสามารถทั้งในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันและติดเชื้อได้ง่าย ระบาดที่เมืองมานาอุส ประเทศบราซิล
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกแรกนั้นก็คือว่า มีประชาชนชาวอินเดียเป็นจำนวนถึง 1 ใน 5 ของประเทศอินเดียติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม และมีข้อมูลว่ามีประชาชนในพื้นที่เมืองมีแอนติบอดีสำหรับเพื่อที่จะป้องกันไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของการติดเชื้อไปทั่วประเทศอินเดีย ณ เวลานี้ ได้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ทำไมระบบภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ถึงล้มเหลวในการป้องกันประชากรจากการติดเชื้อในครั้งนี้
นี่จึงนำไปสู่การอธิบายข้อสมมติฐานว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.617 ว่ามีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน นี่จึงกลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่นำไปสู่การระบาดระลอกที่ 2 อย่างไรก็ตาม คงจะต้องมีการตรวจสอบลำดับจีโนมที่อยู่ในตัวไวรัสโควิดกันก่อน เพื่อที่จะยืนยันข้อสมมติฐานนี้ต่อไป และเนื่องจากไวรัสโควิดสายพันธุ์ B.1.617 มีขีดความสามารถในการสร้างความเสียหายได้เป็นอย่างมาก จึงทำให้อังกฤษต้องตัดสินใจแบนผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดียทุกกรณี
อ้างอิงวิดีโอจาก Drbeen Medical Lectures
@การเลือกตั้งกับการแพร่เชื้อโควิด-19
ย้อนไปเมื่อเดือน มี.ค.2564 ที่ผ่านมา ในช่วงต้นของการระบาดของไวรัสโควิดของการระลอกที่ 2 พรรคการเมืองหลายพรรคในประเทศอินเดียได้เริ่มแคมเปญหาเสียงในรัฐเบงกอลตะวันตก,รัฐอัสสัม,รัฐเกรละ และรัฐทมิฬนาฑู
โดยการหาเสียงแต่ละครั้งมีผู้คนรวมตัวกันเป็นจำนวนนับหลายพันคน ไม่มีการสวมใส่หน้ากาก และมีรายงานการใช้หน้ากากอนามัยที่น้อยมาก
ซึ่งเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าในพื้นที่รัฐเหล่านี้ พบการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาทิ ในรัฐเบงกอลตะวันตกพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึงวันละ 12,000 คน ในช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐอื่นๆในประเทศอินเดียนอกเหนือจากทั้ง 4 รัฐที่ว่ามาก็พบจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอินเดียพุ่งขึ้นสูงเช่นกัน
อาทิ ที่รัฐมหาราษฏระ,รัฐอุตตรประเทศ และรัฐกรรณาฏัก ก็พบการติดเชื้อพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะไม่ได้มีการจัดการเลือกตั้งก็ตาม
ดังนั้น จึงไม่อาจจะตั้งข้อสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าการเลือกตั้งนั้นจะเป็นสาเหตุของจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในช่วงการระบาดระลอก 2
@บทเรียนจากการระบาดที่ประเทศอินเดีย
ประเทศอินเดียนั้นไม่ใช่ประเทศแรกและประเทศเดียวที่พบกับการระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งประเทศบราซิล, ประเทศอังกฤษ,ประเทศเยอรมนี และประเทศฝรั่งเศส ก็เคยถูกทำลายล้างจากการระบาดระลอก 2 ด้วยไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ก่อนหน้านี้มาแล้ว
ขณะที่ประเทศบังกลาเทศ ก็เริ่มมีรายงานพบไวรัสโควิดสายพันธุ์จากอังกฤษและแอฟริกาใต้เข้ามาในประเทศเช่นกัน จึงได้มีการออกมาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศเพื่อที่จะควบคุมไม่ให้เกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้าง จึงทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบังกลาเทศยังคงอยุ่ในภาวะควบคุมได้
แต่ถึงกระนั้น การระบาดของไวรัสโควิดในระลอกที่ 2 ที่ประเทศอินเดีย อาจจะเป็นแค่เหตุการณ์ชั่วคราว ก่อนจะมีการระบาดในระดับภัยพิบัติเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอื่นอีกครั้งก็เป็นได้ ถ้าหากยังคงไม่มีมาตรการอันเหมาะสมเพื่อที่จะรับมือตามมา
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของไวรัสโควิดโดยไม่ให้ประเทศอื่นๆต้องเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบที่ประเทศอินเดียกำลังเผชิญอยู่ จึงจำเป็นที่ประเทศต่างๆจะต้องดำเนินการตามหลักดังต่อไปนี้
1.ประเทศชายแดนติดกับประเทศอินเดียควรจะต้องมีการปิดพรมแดนหรือจุดผ่านแดนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน โดยจะต้องมีการกักตัวผู้ที่เดินทางจากประเทศอินเดียเข้าประเทศอื่นๆผ่านจุดผ่านแดนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วันเช่นกัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้เคยมีการใช้งานมาแล้วกับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอังกฤษ,ประเทศแอฟริกาใต้ และประเทศบราซิล
2.ประเทศต่างๆควรจะมีการตรวจลำดับจีโนมของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะติดตามสายพันธุ์ไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่อาจจะมีความโดดเด่นขึ้นมา
3.หลังจากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ควรจะมีการบังคับประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมายสุขภาพในทุกกรณี
4.ควรจะมีการจัดหาเตียงโรงพยาบาล ความจุห้องไอซียู และมีการจัดหาทรัพยากรออกซิเจนเอาไว้ให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบสุขภาพล่มสลายหากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
และ 5.ควรเพิ่มความพยายามในการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรอย่างน้อยร้อยละ 60 ในช่วงก่อนสิ้นปี 2564 ซึ่งถ้าหากไม่มีระบบการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางแล้ว ก็คงจะเป็นการยากที่จะเอาชนะไวรัสโควิด โดยในกรณีของไวร้สโควิด 19 สายพันธุ์อินเดียนั้น มีรายงานไม่เป็นทางการว่า วัคซีนที่มีใช้งานในอินเดียคือ Covishield ซึ่งเป็นวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศอินเดียนั้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์ B.1.617 ได้ รวมถึงวัคซีนของอินเดียอีกตัวหนึ่งคือ Covaxin ก็มีศักยภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดังกล่าวได้เช่นกัน
นพ.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าวัคซีน Covaxin สามารถป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
เรียบเรียงจาก:https://www.thedailystar.net/frontpage/news/experts-views-should-we-be-worried-about-india-variant-2085421
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage