"...การจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั่วโลกควรจะปล่อยให้กระบวนการสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ดำเนินไปโดยไม่อยู่ในสภาพของการกล่าวโทษกันไปมา การคุกคามทางการเมืองนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนการระบาดใดก็ตาม เรารู้ว่าผลลัพธ์อาจจะถูกขัดขวางได้ ถ้าหากไม่มีการยึดถือหลักการการไม่กล่าวโทษกัน..."
....................
การลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เพื่อสืบหาต้นต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ของ ทีมสอบสวนโรคจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO รอบล่าสุด
กำลังกลายประเด็นความเคลื่อนไหวสำคัญ ที่กำลังถูกจับตามองทั่วโลกอีกครั้ง
โดยสำนักข่าวสเตรทไทม์ของประเทศสิงคโปร์ ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับการลงพื้นที่สอบสวนโรคของ WHO เอาไว้ มีรายละเอียดสำคัญที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ภารกิจการลงพื้นที่ของ WHO ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนนั้น ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง ต่อประชาคมโลก ที่กำลังหาคำตอบว่า ไวรัสโคโรน่านั้นมาจากไหน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้ออกคำแนะนำว่าผู้คาดหวังกับการหาต้นตอของไวรัสนั้น ควรจะต้องมีความใจเย็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
โดย นพ.เดล ฟิชเชอร์ ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และเป็นหนึ่งในทีมของ WHO ที่ลงพื้นที่ประเทศจีนในปี 2563 กล่าวว่า "เราควรจะมองว่าความพยายามในการลงพื้นที่ครั้งนี้นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการสืบสวนเท่านั้น
นับตั้งแต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติได้เดินทางไปยังตลาดอาหารทะเลสดหัวหนาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบการระบาดอย่างเป็นทางการแห่งแรกๆ และอีกสถานที่ที่พบการระบาด ได้แก่ โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และห้องเย็นของโรงงานในพื้นที่
ทีมของ WHO ลงพื้นที่ตลาดเมืองอู่ฮั่น (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
นอกจากนี้ ทีมสืบสวนนี้ ยังมีกำหนดการจะเข้าไปยังสถาบันไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพันธุกรรมโคโรน่าไวรัสที่อยู่ในตัวค้างคาว โดยไวรัสที่ว่านี้สามารถย้อนไปได้ถึงการระบาดของโรคซาร์สในปี 2546
ทั้งนี้ มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดมาจากค้างคาวเกือกม้า แม้ว่า ณ เวลานี้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าไวรัสนี้แพร่ระบาดจากค้างคาวไปยังมนุษย์โดยตรงเลยหรือว่าผ่านโฮสต์ตัวกลางก่อนที่จะแพร่ระบาดมายังมนุษย์
“พวกเขาจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก โดยอาศัยการติดตามผู้ที่สัมผัสการติดเชื้อ การหาข้อมูลจากตัวอย่างของสัตว์,ข้อมูลลำดับพันธุกรรม ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะได้ข้อสรุปทันทีจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้"
"การลงพื้นที่ในครั้งนี้นั้นจึงเปรียบเสมือนการช่วยพัฒนาสมมติฐาน และกำหนดทิศทางการทำงานต่อไปในอนาคตเสียมากกว่า” นพ.ฟิชเชอร์กล่าว
สำหรับภารกิจของทีมสอบสวน WHO นั้น จะเริ่มต้นขึ้นเป็นทางการ หลังผ่านช่วงการกักบริเวณเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ขณะที่สื่อทางการของประเทศจีน ก็ยังคงตั้งข้อสงสัยว่าไวรัสนั้นมีจุดเริ่มต้นของการระบาดที่ทางตอนกลางของประเทศจีนเมื่อประมาณ 1 ปีก่อนจริงหรือไม่
ซึ่งในช่วงเวลาที่ทีมสอบสวนจาก WHO ได้เข้าตรวจสอบห้องเย็นในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา สื่อทางการของรัฐบาลจีนอย่าง Global Times ก็ได้อ้างคำถามของชาวเน็ตจีนรายหนึ่งที่ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ไวรัสจะเข้ามาที่เมืองอู่ฮั่นผ่านทางสินค้นที่ต้องถูกเก็บอยู่ในห้องเย็นที่ว่านี้
และก็ต้องยอมรับว่าเมื่อช่วงปีที่แล้ว ที่มีการระบาดอย่างรุนแรงนั้น ทางการกรุงปักกิ่งได้พยายามผลักดันสมมติฐานอีกประการว่าไวรัสไม่ได้มีต้นตอจากเมืองอู่ฮั่น แต่ถูกนำเข้ามาในประเทศ
“การจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั่วโลกควรจะปล่อยให้กระบวนการสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ดำเนินไปโดยไม่อยู่ในสภาพของการกล่าวโทษกันไปมา การคุกคามทางการเมืองนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย มากๆ ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนการระบาดใดๆก็ตาม เรารู้ว่าผลลัพธ์อาจจะถูกขัดขวางได้ ถ้าหากไม่มีการยึดถือหลักการการไม่กล่าวโทษกัน” นพ.ฟิชเชอร์กล่าว
ขณะที่ ภารกิจของ WHO ถือว่าอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดโดยทางการจีนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าทีมสอบสวนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือน ม.ค. นพ.นายเทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การ WHO ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าทางการกรุงปักกิ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความล่าช้าในการเข้าพื้นที่ของทีมสอบสวนจาก WHO
“การได้รู้ถึงคำตอบว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของการระบาด เป็นสิ่งที่มีค่าและจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่าง เพื่อจะช่วยเหลือในการป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในอนาคตขึ้นมาอีก หรืออย่างน้อยก็จะเป็นสิ่งช่วยทำให้ระบุการระบาดในครั้งถัดไปได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าเราอาจจะต้องคิดด้วยเช่นกันว่าการเตรียมตัวสำหรับการระบาดในครั้งถัดไปนั้น องค์ประกอบของเชื้อโรค ความสามารถในการแพร่เชื้อ และความร้ายแรงของโรคอาจจะมีความแตกต่างกันก็ตาม” นพ.อเล็กซ์ คุก ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากวิทยาลัยสาธารณสุขซอว์สวีฮอกกล่าว
นพ.อเล็กซ์กล่าวต่อไปด้วยว่าเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้วที่พบรายงานการระบาดในปลายปี 2562 ดังนั้นตอนนี้ต้องตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะมีการดำเนินการอย่างจริงจังกับข้อมูลใหม่ใดๆก็ตามที่ถูกพบจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้
ทีมสอบสวนของ WHO ลงพื้นที่สถาบันไวรัสเมืองอู่ฮั่น (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
แม้ว่าตอนนี้จะยังมีข้อมูลกำหนดการไม่ค่อยมากนักเกี่ยวกับ กำหนดการเดินทางในภารกิจของทีมสอบสวนที่ลงพื้นที่ แต่ทางด้านของ นพ.ปีเตอร์ ดาสเซ็ค หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อโรควิทยาของทีมสืบสวนก็ได้ทวีตข้อความเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ว่าทีมสืบสวนได้พบกับผู้ที่รับผิดชอบและดูแลด้านการเฝ้าระวังปศุสัตว์ในมณฑลหูเป่ย์แล้ว
ขณะที่ นพ.ไมเคิล ไรอัน หัวหน้าโครงการการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินของ WHO ได้กล่าวแสดงความคาดหวังเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ว่า การสืบสวนในครั้งนี้นั้นจะสามารถไขคำตอบของคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสโควิด-19 ได้ และภารกิจการสืบหาข้อเท็จจริงนี้นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนักสืบ ในช่วงเวลาที่ไวรัสระบาดตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึงปัจจุบันนั้นมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 2 ล้านคน
อนึ่งก่อนหน้านี้นั้น ประเทศจีนได้แสดงท่าทีโกรธอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมีการเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างอิสระเพื่อจะหาต้นตอของไวรัส แต่ในที่สุดนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนก็ได้ตกลงที่จะให้มีการสืบสวนเกิดขึ้น หลังจากที่มีมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกที่ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนการสอบสวน
“ในมุมมองของผม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าภารกิจการสืบสวนหาต้นตอของโรคในครั้งนี้ก็คือการตรวจสอบว่าหลายๆรัฐบาลนั้นมีข้อผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหนในเรื่องของการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกเหนือจากข้อผิดพลาดที่เรารับรู้ไปแล้ว และการตรวจสอบข้อผิดพลาดในกระบวนการของ WHO จากช่วงเวลาที่มีการตรวจพบโรคระบาด การประกาศขีดความสามารถของโรคว่าสามารถติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้ ” นพ.คุกกล่าว
ดังนั้น กระบวนการของ WHO ที่ว่ามานั้นจะสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ จากภารกิจการสืบสวนในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage