"...อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีการระบาดของโรค จึงไม่ควรรับประทานอาหารทะเลดิบหรือไม่สุก สิ่งที่จะต้องคำนึงคือการสัมผัสโดยตรงกับอาหารทะเลที่แช่เย็นมา ซึ่งจะต้องล้างมือให้สะอาด และชำระล้างอาหารทะเลโดยใช้น้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ และจะต้องทำความสะอาดมือด้วยสบู่ ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ถุงมือและล้างถุงมือ หรือใช้แบบครั้งเดียวแล้วทิ้งด้วย..."
....................................................................
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ที่มีจุดเริ่มต้นจาก ตลาดกลางกุ้ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดระลอกใหม่ หลังจากตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงพบผู้ติดเชื้อที่มีความเชื่อมโยงจาก จ.สมุทรสาคร อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแต่สร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชน ที่ต้องกลับมาดำเนินมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ทั้งรักษายะยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม การระบาดครั้งนี้ยังสร้างความวิตกกังวลไปถึงอาหารทะเล เนื่องจากการระบาดครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีจุดเริ่มต้นจาก “ตลาดกลางกุ้ง” ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งอาหารทะเล
เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคหลายคนหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารทะเลในช่วงนี้ แน่นอนว่า ย่อมส่งผลถึงพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารทะเลโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง จ.สมุทรสาคร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สำรวจพื้นที่ตลาดย่านพระราม 2 พบว่า จำนวนผู้มาจับจ่ายใช้สอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดย น.ส.นภาพร เกตุเต็ม แม่ค้าอาหารทะเล เปิดเผย สถานการณ์ครั้งนี้ทำให้ยอดขายลดลงเหลือเพียงร้อยละ 30 จากยอดขายเดิม เพราะลูกค้ายังมีความวิตกกังวลว่าเชื้อโควิดอาจจะปนเปื้อนมาในอาหารได้
“ลูกค้าหลายคนคิดว่า อาหารทะเลส่วนใหญ่มาจากตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร เขาเลยกังกวลไม่กล้าซื้ออาหารทะเลที่ตลาดพระราม 2 ไปด้วย ทั้งที่ความจริงเรามีแหล่งที่มาของสินค้าคนละแห่ง เช่น ทางร้านรับอาหารทะเลสด โดยเฉพาะพวกกุ้ง หอย ปู มาจากเรือประมงโดยตรง” น.ส.นภาพร กล่าว
ขณะที่ นายพิสิษฐ์ จุ้ยศึกษา พ่อค้าชาวสมุทรสงครามที่เดินทางเข้ามาขายอาหารทะเลใน กทม. เล่าว่า การระบาดของโควิดรอบนี้ ส่งผลให้ยอดสั่งซื้ออาหารทะเลในช่วงปีใหม่ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก เพราะลูกค้ากลัวและไม่มั่นใจว่าอาหารจะติดเชื้อหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวลือว่าพบการปนเปื้อนในอาหารทะเล ทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นไปมาก
“ขนาดสินค้าของผมรับมาจากประมงพื้นบ้านใน จ.เพชรบุรี แต่ข่าวที่เกิดขึ้นก็ทำให้ยอดขายลดลง และผมก็ไม่ได้เข้ามาขายอาหารทะเลใน กทม.เลยตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้กระทบต่อรายได้ของครอบครัวเป็นอย่างมาก” นายพิสิษฐ์ กล่าว
นอกจากร้านค้าที่ขายอาหารทะเลโดยตรงแล้ว ร้านอาหารที่ต้องรับวัตถุดิบมาผลิตอาหารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จนทำให้หลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์ในการขาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า เช่น ร้านโคตรยำ ย่านห้วยขวาง ที่รับวัตถุดิบมาจาก จ.ปราจีนบุรี ยกเลิกขายอาหารที่มีส่วนประกอบของกุ้งสดชั่วคราว เพื่อไม่ให้ผู้บริโภควิตกกังวล จนกระทบต่อยอดขายอาหารประเภทอื่น
ขณะที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ยืนยันต่อเหตุการณ์นี้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า อาหารทะเลสามารถบริโภคได้ถ้าปรุงสุก ความร้อนสามารถทำลายไวรัสได้อย่างแน่นอน โควิดสามารถทำลายด้วยความร้อน 56 องศาฯ นานครึ่งชั่วโมง และถ้าความร้อนสูงขึ้นระยะเวลาก็จะสั้นลง โดยทั่วไปแล้วถ้าความร้อนสูงกว่า 85 องศาฯ ก็จะมั่นใจได้ว่าไวรัสได้ถูกทำลายลงแล้ว และถ้าต้มให้เดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาฯ ไวรัสจะถูกทำลายทันที
อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีการระบาดของโรค จึงไม่ควรรับประทานอาหารทะเลดิบหรือไม่สุก สิ่งที่จะต้องคำนึงคือการสัมผัสโดยตรงกับอาหารทะเลที่แช่เย็นมา ซึ่งจะต้องล้างมือให้สะอาด และชำระล้างอาหารทะเลโดยใช้น้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ และจะต้องทำความสะอาดมือด้วยสบู่ ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ถุงมือและล้างถุงมือ หรือใช้แบบครั้งเดียวแล้วทิ้งด้วย
“ผู้ที่อยู่ในเส้นทางอุตสาหกรรมอาหารทะเล จะต้องตรวจดูคนงาน และอาจจำเป็นต้องสุ่มตรวจหาเชื้อโควิดเป็นระยะ เพราะผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งอาจไม่มีอาการของโรค ส่วนอาหารทะเลยังคงรับประทานได้ตามปกติ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากอยู่แล้ว แต่ขั้นตอนตั้งแต่ผลิตหรือจับมาจากชาวประมง ตลอดจนการจำหน่าย การเตรียมมาทำอาหาร ทุกขั้นตอนให้คำนึงเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย ในการจับต้องกับอาหารทะเลแช่เย็นหรือแช่แข็ง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน” นพ.ยง กล่าว
ทั้งหมดเป็นแรงสั่นสะเทือนจากเชื้อโควิดที่ ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า นอกจากการร่วมมือในการควบคุมโรคของประชาชนแล้ว การสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนสู่ประชาชน ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรีบดำเนินการเช่นเดียวกัน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/