
"...ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง 'หน้าที่ต้องเข้ารับการศึกษา' และ 'สิทธิที่จะได้รับการศึกษา' โดยอธิบายว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับคนชาติ ซึ่งหมายถึงคนสัญชาติไทย ดังนั้น 'หน้าที่' ของบุคคลในการเข้ารับการศึกษาภาคบังคับตามรัฐธรรมนูญจึงมุ่งหมายใช้บังคับเฉพาะกับเด็กสัญชาติไทยเท่านั้น..."
การศึกษาถือเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เป็นรากฐานในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ และเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตของเด็กทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กในกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเด็กไร้สัญชาติและเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
การไม่มอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มนี้จะส่งผลให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว เช่น การใช้แรงงานเด็ก การค้ามนุษย์ และการสร้างประชากรที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
สิทธิการศึกษาของเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยมีรากฐานมาจากกรอบกฎหมายและนโยบายที่ซับซ้อน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กฎหมายภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
@ไทยเป็นหนึ่งในภาคีสิทธิเด็ก
ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐภาคีต้องรับรองสำหรับเด็กทุกคนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของตน
โดยอนุสัญญา CRC มาตรา 28 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า รัฐภาคีต้องรับรองสิทธิของเด็กในการได้รับการศึกษา และเพื่อบรรลุสิทธินี้อย่างก้าวหน้าและอยู่บนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน รัฐภาคีต้องดำเนินการให้การศึกษาขั้นประถมศึกษาเป็นภาคบังคับและจัดให้ฟรีสำหรับเด็กทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติหรือสถานะทางกฎหมาย
การเป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้จึงสร้างพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทการโยกย้ายถิ่นฐานหรือไม่ จะมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียม
@รัฐธรรมนูญชี้ 'เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษา'
กรอบกฎหมายภายในของประเทศไทยโดยเฉพาะในส่วนของการศึกษาภาคบังคับนั้นมีความละเอียดอ่อนในประเด็นเรื่องสัญชาติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 54 ได้บัญญัติไว้ว่า 'รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย'
ในขณะที่พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 กำหนดนิยามของคำว่า 'เด็ก' หมายถึงเด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก และกำหนดให้ผู้ปกครองต้องมี 'หน้าที่' ส่งเด็กเข้าเรียน
จากบทบัญญัติข้างต้นได้เกิดข้อถกเถียงเชิงกฎหมายขึ้นในระดับนโยบาย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ขอหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นว่า พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับฯ ใช้บังคับแก่เด็กสัญชาติไทยเท่านั้น หรือใช้บังคับแก่เด็กซึ่งไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเด็กไร้สัญชาติด้วย 1 คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาและมีความเห็นที่สำคัญดังนี้
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง 'หน้าที่ต้องเข้ารับการศึกษา' และ 'สิทธิที่จะได้รับการศึกษา' โดยอธิบายว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับคนชาติ ซึ่งหมายถึงคนสัญชาติไทย ดังนั้น 'หน้าที่' ของบุคคลในการเข้ารับการศึกษาภาคบังคับตามรัฐธรรมนูญจึงมุ่งหมายใช้บังคับเฉพาะกับเด็กสัญชาติไทยเท่านั้น
หน่วยงานของรัฐจึงไม่สามารถบังคับให้เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเด็กไร้สัญชาติเข้ารับการศึกษาจนจบการศึกษาภาคบังคับโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับฯ ได้ และไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ปกครองของเด็กกลุ่มนี้หากไม่ได้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน
ในทางกลับกัน สิทธิที่จะได้รับการศึกษาของเด็กไร้สัญชาติมีที่มาจากพันธกรณีระหว่างประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงมีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการให้เด็กกลุ่มนี้ ซึ่งผู้ปกครองประสงค์จะส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้รับการศึกษาเฉกเช่นเดียวกันกับเด็กสัญชาติไทย การเข้าเรียนของเด็กไร้สัญชาติจึงเป็นไปตามความสมัครใจ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ที่ถูกบังคับโดยผลของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเช่นเดียวกับเด็กสัญชาติไทย
การแยกแยะเชิงหลักการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการสร้างความชัดเจนทางกฎหมายที่อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศได้โดยไม่ขัดแย้งกับกรอบกฎหมายภายในที่มุ่งเน้นการพัฒนา 'คนไทย' เป็นหลัก
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของระบบกฎหมายในการใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพื่ออุดช่องว่างทางกฎหมาย และทำให้เด็กไร้สัญชาติสามารถเข้าถึงสิทธิในการศึกษาได้ในที่สุด
แม้จะมีกรอบนโยบายที่ชัดเจนและก้าวหน้า แต่การนำไปปฏิบัติในทางจริงยังคงมีอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิการศึกษาของเด็กไร้สัญชาติ
@โรงเรียน-หน่วยงานทะเบียน ทำงานไม่ประสานกัน
กระบวนการที่ซับซ้อนในการขอและตรวจสอบสถานะบุคคลเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลัก เด็กไร้สัญชาติที่เข้าเรียนในสถานศึกษาจะได้รับรหัสประจำตัวนักเรียนที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร 'G' (G-code) ซึ่งใช้สำหรับการจัดการศึกษาในพื้นที่เท่านั้น
โดยขั้นตอนการเปลี่ยน G-code ให้เป็นเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเข้าถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ในอนาคตนั้นเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลและประสานงานกับหลายหน่วยงานในพื้นที่ รวมถึงสำนักงานทะเบียนอำเภอ
ฉะนั้น ความไม่ต่อเนื่องในการประสานงานและการขาดความเข้าใจร่วมกันระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานทะเบียนในระดับปฏิบัติงานเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้กระบวนการนี้ล่าช้า
@อุปสรรคทางเศรษฐกิจจำกัดโอกาสการศึกษา
นอกเหนือจากปัญหาด้านการทะเบียนแล้ว เด็กไร้สัญชาติยังเผชิญกับอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่จำกัดโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น อุปสรรคที่ชัดเจนที่สุดคือการที่เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ เนื่องจากคุณสมบัติของผู้กู้กำหนดให้ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น
ปัญหานี้สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรืออาชีวศึกษาของเด็กกลุ่มนี้เป็นไปได้ยาก แม้จะมีศักยภาพทางการเรียนก็ตาม
นอกจากนี้ การจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสในประเทศไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพ โดยโรงเรียนหลายแห่งที่รองรับเด็กกลุ่มนี้มักมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทั้งจำนวนครู ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ และสื่อการสอน ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาที่เด็กได้รับไม่เท่าเทียมกับโรงเรียนทั่วไป
@การตีความ-บังคับใช้ กม.แตกต่างกัน
ความไม่ชัดเจนในการตีความและการบังคับใช้กฎหมายในระดับพื้นที่ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ปฏิบัติงาน
ตัวอย่างกรณี 'ครูปุ๊' ผู้อำนวยการโรงเรียนคนหนึ่งที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่านำเด็กไร้สัญชาติจำนวน 126 คนจากจังหวัดเชียงรายมาเรียนที่จังหวัดอ่างทอง (อ้างอิงข่าวจากไทยพีบีเอส: https://www.thaipbs.or.th/news/content/332327)ได้สะท้อนความขัดแย้งที่สำคัญระหว่างเจตนารมณ์เชิงนโยบายกับแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย แม้นโยบายของรัฐจะอนุญาตให้เด็กไร้สัญชาติสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ แต่เจ้าหน้าที่บางส่วนในพื้นที่อาจตีความการกระทำของผู้ปฏิบัติงานว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
คดีนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีความก้าวหน้าทางนโยบาย แต่การขาดความเข้าใจและการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐที่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ที่ตั้งใจช่วยเหลือเด็กกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมสิทธิการศึกษาของเด็กกลุ่มนี้
ทั้งหมดนี้ คือรายละเอียดที่สำนักข่าวอิศรารวบรวมมานำเสนอ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสิทธิการศึกษาของเด็กไร้สัญชาติในไทยยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อถึงความคืบหน้าเชิงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การขาดนโยบาย แต่เป็นช่องว่างระหว่างเจตนารมณ์ของนโยบายกับการปฏิบัติในระดับพื้นที่ ที่ยังคงมีปัญหาด้านการตีความ ความซับซ้อนทางระเบียบ และการขาดการประสานงาน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา