
คดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลก็ต่อเมื่อรัฐคู่กรณียินยอมเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐต่างๆ ไม่สามารถถูก “ลาก” เข้าสู่การพิจารณาของศาลได้
ความเคลื่อนไหวล่าสุดกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ล่าสุด พล.อ.ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า ได้สั่งให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ฝ่ายกัมพูชา นำประเด็นเรื่องปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ(สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือที่เรียกกันว่าศาลโลก
และย้ำว่าแม้กัมพูชาจะพยายามแก้ไขปัญหาชายแดนโดยสันติตามกลไกเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่กัมพูชาขอสงวนสิทธิที่จะปกป้องดินแดนของตนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้กำลังทหารในกรณีที่มีการพยายามรุกรานดินแดนของกัมพูชาโดยใช้กำลังทหาร
ส่วนพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการนำเรื่องขึ้นไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่า ยังเป็นคนละเรื่องกันกับปัญหาปัจจุบัน ปัจจุบันคือ การทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ยังไม่ได้เป็นเน้นการชี้ชัดว่าควรเป็นดินแดนของใคร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอำนาจของ ICJ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บสำนักข่าวการเมืองสหรัฐอเมริกาชื่อว่า The Conversation ซึ่งรายงานข่าวเกี่ยวกับบทบาทของ ICJ เอาไว้ในกรณีความขัดแย้งฉนวนกาซ่า รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
ICJ เป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1945 โดยกฎบัตรสหประชาชาติ และประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คนที่ได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
เหตุปะทะทหารไทยและกัมพูชา (อ้างอิงวิดีโอจาก Times Now)
@การดำเนินงานและอำนาจ
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบของรัฐมากกว่าความผิดส่วนบุคคล คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสามารถตัดสินได้ว่ารัฐภาคีในคดีได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่และตัดสินให้การชดใช้ค่าเสียหาย (รวมถึงการรับประกันการไม่กระทำผิดซ้ำ ตลอดจนการชดเชยทางการเงินหรือการคืนทรัพย์สิน) สำหรับการละเมิดดังกล่าว
ศาลจะไม่ระบุตัวผู้กระทำความผิดรายบุคคลหรือมอบหมายความรับผิดชอบเป็นรายบุคคล หากรัฐเชื่อว่ารัฐกำลังตกอยู่ภายใต้อันตรายจากภัยคุกคาม รัฐสามารถร้องขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออก “มาตรการชั่วคราว” เพื่อรักษาสิทธิเหล่านั้นไว้จนกว่าการดำเนินคดีจะเสร็จสิ้น
ตัวอย่างเช่น ได้มีการร้องขอและสั่งให้ใช้มาตรการชั่วคราวในคดีซึ่งแอฟริกาใต้กล่าวหาประเทศอิสราเอล เพื่อป้องกันไม่ให้อิสราเอลละเมิดอนุสัญญาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
@ขอบเขตอำนาจศาล
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นศาลทั่วไปที่ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐ และสามารถรับฟังข้อพิพาทเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศได้ทุกประเภท รวมถึงประเด็นต่างๆ เช่น ข้อพิพาทเรื่องพรมแดน เอกสิทธิ์คุ้มครองทางการทูต การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตามศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นศาลอาญาที่มีเขตอำนาจศาลจำกัดเฉพาะอาชญากรรมสี่ประเภทที่ระบุไว้ในธรรมนูญกรุงโรม ได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และการรุกราน
@คดีจะขึ้นสู่ ICJ ได้อย่างไร
คดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลก็ต่อเมื่อรัฐคู่กรณียินยอมเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐต่างๆ ไม่สามารถถูก “ลาก” เข้าสู่การพิจารณาของศาลได้
ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีแอฟริกาใต้กับอิสราเอล อิสราเอลยินยอมให้แก้ไขข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่ออิสราเอลลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวในปี ค.ศ. 1950 โดยตกลงที่จะเข้าร่วมในกระบวนการทางกฎหมายนี้ คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกระบวนการโต้แย้งมีผลผูกพันต่อคู่กรณี แม้ว่าศาลจะไม่สามารถบังคับใช้คำตัดสินของตนได้ก็ตาม
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยังรับดำเนินคดีในอีกประเภท เรียกกันว่า “การให้ความเห็นในเชิงปรึกษา” โดยคดีที่เกี่ยวข้องกับการให้ความเห็นในเชิงปรึกษานั้นไม่ใช่คดีตามธรรมเนียมปฏิบัติของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือสรุปก็คือการให้ความเห็นโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีผลผูกพันและไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องกับ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” ในการโต้แย้ง
กระบวนการนี้อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศซึ่งอยู่ในรายชื่อส่งคำถามถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศได้ ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะตอบโดยเขียนความเห็นทางกฎหมาย แม้ว่าความเห็นทางกฎหมายเหล่านี้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ก็ถือเป็นข้อตัดสินที่มีอำนาจและมักปฏิบัติตามโดยรัฐ
ตัวอย่างเช่นในอดีตศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเคยได้รับคำถาม ขอให้แนะนำในประเด็นต่างๆ เช่น ความถูกต้องตามกฎหมายของอาวุธนิวเคลียร์ ความเป็นเอกราชของโคโซโว และล่าสุดยังรวมถึงพันธกรณีของรัฐต่างๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ศาลโลกฟังถ้อยคำคดีเขาพระวิหาร (อ้างอิงวิดีโอจาก SEREYRATHA SOURN)
@กรณีเขาพระวิหารกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้นเคยมีกรณีพิพาทกับกัมพูชาในเรื่องความเป็นเจ้าของปราสาทเขาพระวิหาร จนต้องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว
ย้อนไปเมื่อปี 2501 จากปัญหาการอ้างสิทธิ์เหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร
ฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อปี 2502
ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกตัดสินด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และคะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่าไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลาส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณ และปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา
วันที่ 13 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินแล้ว 20 กว่าวัน รัฐบาลไทยโดยนายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยังนายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยอ้างว่า คำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต
ต่อมาในปี 2554 กัมพูชานำคดีเขาพระวิหารไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกครั้งเพื่อให้ตีความคำพิพากษาเดิมหลังมีกรณีพิพาทกัน
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เวลา 16.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) องค์คณะตุลาการ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ที่กัมพูชาได้ยื่นร้องขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความตามธรรมนูญศาลโลก ข้อ 60 เรื่องข้อพิพาทในพื้นที่ใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร
คําพิพากษาของศาลโลกมีสาระสําคัญโดยสรุป ดังนี้
1.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับตีความตามคําร้องของฝ่ายกัมพูชาเฉพาะในประเด็นที่ศาลเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจแตกต่างกัน และเฉพาะภายในขอบเขตของคําพิพากษาปี 2505
2. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่รับพิจารณาประเด็นเส้นเขตแดน หากแต่พิจารณาเฉพาะประเด็นอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารและขอบเขตของบริเวณใกล้เคียงปราสาท
โดยศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่ มาตราส่วน 1:200,000 ผูกพันไทยภายใต้คดีเดิมในฐานะเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา
3. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับพิจารณาเกี่ยวกับบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นบริเวณพื้นที่ขนาดเล็ก และศาลได้อธิบายขอบเขตของบริเวณดังกล่าวในทางสภาพภูมิศาสตร์ ซึ่งจํากัดอยู่เฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร ไม่รวมถึงภูมะเขือ
4.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแนะนําให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก
เรียบเรียงเนื้อหาจาก:https://theconversation.com/what-are-the-icj-and-the-icc-and-how-do-their-power-and-jurisdiction-differ-230573

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา