
“...3.กรณี รฟท. สงวนสิทธิกรณีต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่เมื่อใด ไม่ว่าในระหว่างอายุสัญญาเช่าหรือเมื่ออายุสัญญาเช่าสิ้นสุดลง สตง. ต้องเลิกใช้ประโยชน์พร้อมออกจากพื้นที่นั้น เป็นมาตรฐานข้อกำหนดที่ระบุในสัญญาเช่าที่ดินโดยทั่วไป ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่เช่าที่ดิน รฟท. ก็ยอมรับข้อกำหนดดังกล่าว...”
เหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ความลึก 10 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่ที่มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 แรงสั่นสะเทือนส่งถึงประเทศไทยในหลายพื้นที่-กระทบโครงสร้างบ้านแนวราบ-คอนโดแนวดิ่ง และ ตึกสูง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ สูง 30 ชั้น ถล่ม ย่านจตุจักร ไม่ใช่สถานที่แรกที่ สตง.วางแปลนก่อสร้าง ‘บ้านหลังใหม่’ เมื่อปี 2563 แต่เป็นทำเล ‘แห่งที่สอง’
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ : ปฐมบทตึกสตง.แห่งใหม่ถล่ม (1) ปักหมุดพื้นที่ 15 ไร่ กรมธนารักษ์ย่านปทุมฯ ก่อนย้ายไปจตุจักร
ปฐมบทตึกสตง.แห่งใหม่ถล่ม ตอนที่ 2 สำนักข่าวอิศราขอนำข้อมูล หนังสืออนุญาตการใช้พื้นที่กรมธนารักษ์ เนื้อที่ 15 ไร่ และ หนังสือขอคืนพื้นที่ และอนุญาตให้กองทัพบกใช้พื้นที่ดังกล่าวแทน
รวมถึงรายงานการประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่มีมติเห็นชอบเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างตึกสตง.จากเดิมบน ‘ที่ดินราชพัสดุ’ ของกรมธนารักษ์ จังหวัดปทุมธานี เปลี่ยนเป็นการ ‘เช่าที่ดิน’ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แขวงจตุจักร กรุงเทพฯ ภายใต้ ‘สงวนสิทธิการขอคืนพื้นที่เช่า’
@ เปิดหนังสืออนุญาตใช้ที่ดินกรมธนารักษ์-ขอคืนพื้นที่
สำหรับ หนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ ออกให้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อแสดงว่า ได้อนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ปท.749 ตำบล บ้านใหม่ อำเภอ เมืองปทุมธานี จังหวัด ปทุมธานี จำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ สำหรับเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานและอาคารประกอบอื่น ออกให้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2551

ต่อมา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ออกหนังสือ ที่ ตผ 0002/3405 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ถึง ธนารักษ์พื้นที่ปทุมธานี เรื่อง ขอคืนพื้นที่ โดยหนังสือระบุว่า
“ด้วยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีความประสงค์ขอคืนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ปท. 749 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน 69 ตารางวา และอนุญาตให้กองทัพบกใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวแทน”


@ เปิดบันทึก เหตุผล เช่าที่รฟท. 15 ปี 579 ล้าน
หลังจากขอคืนพื้นที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ทำ บันทึกข้อความ ที่ ตผ 0003/243 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2559 เรื่อง การปรับเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ถึง นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น
หนังสือหนังกล่าวได้ระบุถึงเหตุผลของการเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างอาคาร สตง.แห่งใหม่ บนที่ดินของกรมธนารักษ์ จังหวัดปทุมธานี เปลี่ยนเป็นการเช่าที่ดิน รฟท. โดยให้เห็นผลเรื่อง น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 54 และ เรื่องระยะทางไกล ไม่สะดวกในการเดินทาง สิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังแจ้งให้ทราบว่า รฟท.เห็นชอบให้ใช้พื้นที่ก่อสร้างอาคาร สตง.แห่งใหม่ บริเวณย่านพหลโยธิน ศูนย์การผลิตและซ่อมบำรุง ฝ่ายการช่างโยธา จำนวนพื้นที่ 17,460 ตารางเมตร หรือ 10 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวา โดยคิดค่าเช่าปีแรก ตารางเมตรละ 1,546.88 บาทต่อปี และปรับเพิ่มร้อยละ 5 ทุกปี กำหนดระยะเวลาเช่า 15 ปี รวม 579.710 ล้านบาท



@ ย้ายที่ใหม่-ทบทวนแบบก่อสร้าง
รายงานการประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ครั้งที่ 20/2559 เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2559 ที่ห้องวรพากษ์พินิจ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่มีนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม เป็นประธานคตง.ในขณะนั้น เป็นประธานการประชุมในวันนั้น มีการพิจารณา ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา 3.1 การปรับเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่)
โดยที่ประชุมคตง.มีมติเห็นชอบตาม ข้อเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน 2 ข้อ ดังนี้
1.เห็นชอบการย้ายสถานที่ก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ให้ก่อสร้างในพื้นที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (บริเวณศูนย์การผลิตและซ่อมบำรุง ฝ่ายการช่างโยธา ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร) และให้รับข้อสังเกตของนาย XXX เกี่ยวกับประเด็นความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งข้อสังเกตของ คตง.ท่านอื่น ไปพิจารณาให้รอบคอบต่อไป
2.เห็นชอบวงเงินค่าเช่าและระยะเวลาการเช่าที่ดินตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 ต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมคตง.ยังเห็นชอบ ‘มติเพิ่มเติม’ อีก 2 ข้อ นอกเหนือจาก ‘ข้อเสนอเพื่อพิจารณา’ หนึ่งนั้นนั้น คือ “การทบทวนแบบก่อสร้างอาคาร”
“3.ให้ สตง. ศึกษาข้อได้เปรียบเสียเปรียบของร่างสัญญาที่จะลงนาม และ 4.ให้ สตง. พิจารณาทบทวนแบบก่อสร้างอาคารที่ทำการว่าเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร โดยให้ศึกษาข้อดีข้อเสียของการออกแบบก่อสร้างอาคารที่ทำการแบบใหม่ด้วย”
ทั้งนี้ ก่อนการพิจารณา-ลงมติของ คตง. สตง.ได้แจ้งข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะ ในการพิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดของ รฟท. ตามที่คตง.ขอทราบความเห็น ดังนี้
1.กำหนดระยะเวลาในสัญญาเช่าที่ดินเพียง 15 ปี กรณีดังกล่าว จากการตรวจสอบ รฟท. กำหนดระยะเวลาเช่ากับหน่วยงานราชการที่ไม่ได้ดำเนินงานเชิงธุรกิจ เป็นมาตรฐานที่ระยะเวลา 15 ปี เช่นเดียวกับการเช่าที่ดินสำหรับอาคารที่ทำการศาลเยาชนและครอบครัวกลางของสำนักงานศาลยุติธรรม ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดหากจะให้ รฟท. ขยายระยะเวลาในสัญญาเช่าที่ดิน ซึ่งจากการพิจารณาแผนการบริหารจัดการที่ดินของ รฟท. พื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ในจุดที่กระทบกับโครงสร้างระบบขนส่งทางราง จึงไม่มีเหตุให้ยกเลิกการต่อสัญญาเช่าที่ดินในอนาคต
2.รฟท. มอบหมายให้ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่การรถไฟฯ กำหนดมูลค่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวมาคำนวณเป็นอัตราค่าเช่าที่ดินตารางเมตรละ 1,556.88 บาท/ปี ซึ่งผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ประสานงาน ดำเนินการขอผ่อนปรนลดอัตราค่าเช่าที่ดินอย่างไร รฟท. ก็ไม่ยินยอมเปลี่ยนแปลง สตง. เห็นว่า หากการดำเนินการต่อรองล่าช้า เมื่อโครงการปรับเปลี่ยนศูนย์กลางการคมนาคมระบบรางจากสถานีหัวลำโพงเป็นสถานีบางซื่อ จะยิ่งส่งผลให้มูลค่าที่ดินสูงขึ้น และหากพิจารณาการเสียโอกาสในการใช้พื้นที่ เพื่อใช้เป็นอาคารที่ทำการบริหารงานตรวจเงินแผ่นดิน เพิ่มประสิทธิภาพจากผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบจึงเห็นควรรับเงื่อนไขอัตราค่าเช่าที่ดินของ รฟท.
3.กรณี รฟท. สงวนสิทธิกรณีต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่เมื่อใด ไม่ว่าในระหว่างอายุสัญญาเช่าหรือเมื่ออายุสัญญาเช่าสิ้นสุดลง สตง. ต้องเลิกใช้ประโยชน์พร้อมออกจากพื้นที่นั้น เป็นมาตรฐานข้อกำหนดที่ระบุในสัญญาเช่าที่ดินโดยทั่วไป ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่เช่าที่ดิน รฟท. ก็ยอมรับข้อกำหนดดังกล่าว
กรณีข้อจำกัดต่าง ๆ สตง. จะพยายามต่อรองเพิ่มเติมกับทาง รฟท. เพื่อประโยชน์สูงสุด แต่เนื่องจากปัจจุบันค่าเช่าที่ดินกำหนดในสัญญาเช่าระยะเวลา 15 ปี สตง. ต้องของบประมาณรายจ่ายดำเนินงานผูกพันข้ามปีต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 จึงจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้
@ ท้วงเช่าที่ดิน รฟท. เงื่อนไขเพียบ
เมื่อแกะรายงานการประชุม คตง. ครั้งที่ 20/2559 บันทึกไว้ใน ‘ข้อพิจารณาของ คตง.’ นาย XXX กรรมการ คตง. กล่าวว่า ประเด็นที่ได้ตั้งข้อสังเกตในการประชุมครั้งที่ 19/2559 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 นอกเหนือจากกรณีการสงวนสิทธิขอคืนพื้นที่เช่า (ร่างสัญญาฯข้อ6) แล้ว ได้มีข้อสังเกตให้ สตง. พิจารณาประเมินความเสี่ยงข้อ 5 และข้อ 7 ด้วย และรายงานให้คตง. ทราบ
นอกจากนี้ ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาแผนที่ตามแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อเพื่อเป็นศูนย์กลางการเดินรถไฟ ประกอบร่างสัญญาฯ ข้อ 2 ข) ที่ระบุว่า
“โดยพื้นที่ของผู้ให้เช่าบริเวณดังกล่าวอาจได้รับผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการรถไฟทางคู่ ผู้เช่าต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะอาจเกิดขึ้นหรืออาจได้รับสิทธิเช่าเพียงระยะสั้น แต่เมื่อโครงการมีความชัดเจน ผู้ให้เช่าจะพิจารณาให้เช่าในระยะยาวต่อไป ซึ่งผู้เช่าไม่มีสิทธิและไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือฟ้องร้องใด ๆ จากผู้ให้เช่าทั้งสิ้น”ซึ่งเห็นว่าเป็นความเสี่ยงที่จำเป็นต้องพิจารณาประกอบการให้ความเห็นชอบในเรื่องนี้ จึงขอให้ สตง.ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย
โดยในที่ประชุมมีกรรมการ คตง. มีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีทั้ง ‘เห็นด้วย’ และ ‘ไม่เห็นด้วย’







อีกหนึ่งประเด็น คือ หนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ รฟ.1/124/2559 ลงในที่ 20 มกราคม 2559 เรื่อง แจ้งเงื่อนไขการขอใช้ที่ดินการรถไฟฯ บริเวณย่านพหลโยธิน (ศูนย์การผลิตและซ่อมบำรุง ฝ่ายช่างโยธา) เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ‘เงื่อนไขข้อที่ 4’ ระบุว่า
“…สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ต้องส่งแบบการก่อสร้างอาคารให้การรถไฟฯ พิจารณาตรวจสอบและให้ความเห็นชอบ ก่อนดำเนินการปลูกสร้าง”
ต่อมาในวันที่ 6 ก.ย.59 การประชุม คตง. ครั้งที่ 49/2559 ที่ห้องวรพากษ์พินิจ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่มีนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธาน คตง. เป็นประธานในที่ประชุม
มีการพิจารณาระเบียบวาระที่ 6 เรื่องอื่น ๆ เรื่องที่ 6.2 การก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ มีกรรมการคตง. ให้ สตง. เร่งดำเนินการลงนามสัญญาเช่าที่ดินกับ รฟท. โดยเร็ว รวมถึงการพิจารณายกเลิกแบบก่อสร้างเดิม


ในตอนต่อไปสำนักข่าวอิศราจะนำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายออกแบบก่อนสร้างระหว่าง ‘แบบก่อสร้างเดิม’ กับ ‘แบบก่อสร้างใหม่’ ว่าราคาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน สามารถ ‘ประหยัดงบประมาณ’ ค่าก่อสร้างได้จริงหรือไม่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา