ทางด้านของ พล.ร.อ.โรเบิร์ต วิลลาร์ด ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯประจำภูมิภาคแปซิฟิกในขณะนั้น ได้กล่าวกับคณะกรรมการรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าการที่นายฮุนเซนส่ง ฮุน มาเนต ไปยังเขาพระวิหารเสมือนกับว่าจะเป็นการดูแลฮุน มาเนต ในฐานะผู้ที่เป็นทายาท....“ความขัดแย้งในครั้งนี้สร้างเครดิตให้ฮุน มาเนต ในฐานะผู้บัญชาการทหารและในฐานะวีรบุรุษผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติจากภัยคุกคามภายนอก” พล.ร.อ.วิลลาร์ดกล่าวกับคณะกรรมการฯ
นอกเหนือจากข่าวการจัดตั้งรัฐบาลของไทยแล้ว ข่าวในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นเหตุการณ์นายฮุน เซน หรือ สมเด็จฮุน เซน ได้ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้บุตรชายคนโตอย่าง พล.อ.ฮุน มาเนต ก็เป็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความของสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชีย ที่นำเสนอประวัติของ พล.อ.ฮุน มาเนต มานำเสนอ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
นายฮุน เซน หรือสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีที่ได้ลงจากอำนาจในเดือนนี้หลังจากที่กุมอำนาจปกครองประเทศมาอย่างนาวนานสี่ทศวรรษ มักจะสร้างภาพว่าตัวเองว่าเขาเป็นกษัตริย์จากศตวรรษที่ 16 ที่กลับชาติมาเกิด
และในบางครั้ง ฮุน เซน ก็จะสร้างภาพให้กับลูกชายผู้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งก็คือ พล.อ.ฮุน มาเนต ว่ามีตำนานที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับผู้เป็นพ่อ โดยในการสุนทรพจน์ และในชีวประวัติของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายฮุน เซนยืนยันว่ามีแสงสว่างจ้าออกมาจากต้นไทรอายุหลายศตวรรษ ในวันเดียวกับที่ลูกชายคนโตของเขาได้เกิดมา
“คนห้าร้อยคนเห็นแสงสว่าง นั่นคือตอนที่ฮุน มาเนตเกิด” นายฮุน เซน กล่าวกับผู้เขียนหนังสือชื่อว่า Strongman: The Extraordinary Life of Hun Sen” ในช่วงเดือน ธ.ค. 2540
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่มีเหตุการณ์สําคัญในตํานานดูเหมือนถูกนำมาใช้เพื่อพรรณนาว่า พล.อ.ฮุน มาเนตว่าถูกกําหนดให้มีความยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพ่อของเขา อย่างไรก็ตาม เรื่องตำนานเหล่านี้ถูกพูดเพียงสี่เดือนหลังจากที่นายฮุน เซนได้ขับพันธมิตรร่วมรัฐบาลของเขาในการทํารัฐประหารอันนองเลือด
โดยนายฮุน เซนเคยกล่าวว่าเขาไม่อยากจะให้ลูกชายต้องมาเดินบนเส้นทางการเมืองด้วยการต่อสู้แบบเดียวกับเขา เพราะคิดว่าบุตรชายในวัย 20 ปี ณ เวลานั้นยังไม่เหมาะสมกับเรื่องเหล่านี้
“ผมอยากเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัวที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง” จากคำพูดของนายฮุน เซนตอนหนึ่งในหนังสือ ที่ระบุต่อไปว่า “ผมอยากเห็น ฮุน มาเนต ทำงานในฐานะผู้ช่วยนักการเมือง ทำหน้าที่ฟื้นฟูประเทศและไม่เป็นนักการเมืองเสียเอง ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจการเรียน งานวิจัย และมักจะชอบให้คำแนะนำมากกว่าจะทำเอง”
พล.อ.ฮุน มาเนต นั้นเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกา ถูกประกาศออกมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ฮุน มาเนตจะเข้าสาบานตนในวันที่ 22 ส.ค. ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางความสงสัยจากประชาชนกัมพูชาว่าเมื่อผู้นำคนใหม่ในวัย 45 ปี ได้ขึ้นครองตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี กัมพูชาจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ฮุน มาเนต มีความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ผ่านการอบรบ และเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์ แต่ว่าในฐานะนักการเมืองแล้ว ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ และเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเขาจะเป็นเผด็จการแบบที่ผู้เป็นพ่อเป็นหรือไม่
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กับบุตรชาย ฮุน มาเนต ในพิธีจบการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา
@คนไร้เดียงสา
ผู้ที่รู้จัก พล.อ.ฮุน มาเนต มาตั้งแต่อายุยังน้อยเคยกล่าวว่าเขาไม่แตกต่างจากนายฮุน เซนในช่วงวัยหนุ่มเลย เพราะมีลักษณะของความถ่อมตน ขยัน และมีมารยาท จนถึงจุดที่ดูว่ามีความไม่กล้าทำอะไรเลย และดูมีความมุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเองในด้านเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และการพัฒนา
พล.อ.ฮุน มาเนต เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนทหารเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2538 โดยถือว่าเป็นชาวกัมพูชาคนแรกและเป็นหนึ่งชาวต่างชาติจำนวนไม่ถึงสิบคนที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐฯ ที่ได้เข้าไปศึกษาในโรงเรียนการทหารในสหรัฐอเมริกา
โดยในหนังสือชีวประวัติของฮุนเซนที่ออกมาในปี 2545 พล.อ.ฮุน มาเนตบอกว่าชั้นเรียนที่เวสต์พอยต์ มีนักเรียนประมาณ 900 คน ในช่วงแรกเขาต้องประสบกับปัญหาทั้งในเรื่องการศึกษาเป็นภาษาอังกฤษ และปัญหาเรื่องวัฒนธรรม
นายเควิน เจมส์ เพื่อนร่วมชั้น พล.อ.ฮุน มาเนต เป็นระยะเวลาสองปี อธิบายว่า ฮุน มาเนต เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีความอดทน และไม่ได้คิดว่าใครจะแตกต่างจากคนอื่น
นายเจมส์กล่าวต่อไปว่าเขาสามารถเข้ากับ ฮุน มาเนตได้ดีในช่วงปีแรก และในปีต่อมา พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีก
“ผมไม่มีปัญหากับการใช้ชีวิตกับฮุน มาเนต เขาค่อนข้างเป็นคนที่เป็นมิตร เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีและมีน้ำใจ เขาไม่ใช่คนที่จะทำให้เกิดปัญหาอะไร และเขายังทนได้ที่ผมสูบบุหรี่ในห้อง” นายเจมส์ ที่ตอนนี้เป็นนายทหารยศพันโทในกองพลส่งทางอากาศที่ 101 กองทัพบกสหรัฐฯ กล่าว และกล่าวอีกว่าฮุน มาเนต เป็นคนที่ไร้เดียงสามาก สำหรับผมที่มาจากบนบทในรัฐเพนซิลมาเนีย ซึ่งผมก็ตกใจมากที่ว่าเขาไร้เดียงสาแค่ไหน
ทั้งนี้หลังจากที่ พล.อ.ฮุน มาเนต สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ เขาได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก โดยในระดับการศึกษาปริญญาโท เขาได้ทำหัวข้อวิทยานิพนธ์ในช่วงปี 2544 ชื่อหัวข้อว่า “กัมพูชาจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปที่ดินอย่างไร”ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ที่กัมพูชา นายฮุน เซนก็ได้เริ่มที่จะแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งไปให้กับเพื่อนสนิทและนักลงทุนต่างชาติในรูปแบบของสัมปทานที่ดินทางเศรษฐกิจ
โดยข้อมูลตามเอกสารคำฟ้องคดีในปี 2557 พบว่ากรณีการให้สัมปทานที่ดินทางเศรษฐกิจนั้นส่งผลทำให้ประชากรกัมพูชาจำนวนกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ต้องพลัดถิ่น
ในขณะที่รัฐบาลของพ่อของเขายังคงเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับคนชั้นนำ โดยอาศัยค่าใช้จ่ายของชนชั้นที่ยากจนที่สุดในประเทศ ฮุน มาเนตในตอนนั้น ดูเหมือนจะสนใจที่จะเรียนรู้มากขึ้นว่าแม้แต่ในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในโลกจะสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างไร เขาฝึกงานกับธนาคารโลกในช่วงเวลานั้น โดยถูกส่งไปยังประเทศคองโกตามอ้างอิงบนโพสต์เฟซบุ๊กของนายฮุน เซน หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปสหราชอาณาจักรซึ่งเขาสําเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบริสตอล
“"เขาเป็นนักเรียนที่มีความสามารถ สุภาพและให้เกียรติเสมอ และทํางานหนัก” นายโจนาธาน เทมเพิล อาจารย์ของฮุน มาเนต ในชั้นปริญญาเอกกล่าวกับสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียเมื่อปีที่ผ่านมา และกล่าวต่อไปด้วยว่าฮุน มาเนต แสดงความปรารถนาที่จะทำงานด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อการพัฒนา
“ผมไม่ได้รู้เกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวเขา จนกระทั่งการศึกษาของเขาเริ่มก้าวหน้าไปมาก” นายเทมเพิลกล่าว
ครอบครัวฮุน เซน เมื่อครั้งพบปะกับนายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย โดยฮุน มาเนต อยู่แถวหลังคนที่สี่จากขวามือ
@ค่านิยมของครอบครัว
แม้ว่าการศึกษาจะทำให้ฮุน มาเนต ห่างไกลจากครอบครัวเขา แต่ก็มีสัญญาณเพียงเล็กน้อยว่าเขาจะหลุดพ้นจากความเป็นครอบครัวไปอย่างสิ้นเชิง
โดยในช่วงที่ฮุน มาเนต เรียนอยู่ชั้นปีที่สองที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในระดับปริญญาโท เขาและเครือญาติวัยรุ่นของเขาได้ซื้อบ้านแบบสี่ห้องนอนมูลค่า 5.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เขตชานเมืองลองไอส์แลนด์ ในรัฐนิวยอร์ก แม้ว่าในช่วงเวลานั้น จะมีคนตกงานทั่วกัมพูชา ส่วนรายได้โดยเฉลี่ยของพ่อของพวกเขาอยู่ที่ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ในช่วงที่มีการซื้อบ้านในปี 2543 ราคาของบ้านนั้นสูงกว่า 1,600 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับค่าแรงโดยเฉลี่ยของชาวกัมพูชา)
ต่อมาในปี 2549 ฮุน มาเนตได้แต่งงานกับนางพิช จันทร์โมนี ลูกสาวผู้มีเส้นสายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีประะจำสำนักนายกรัฐมนตรี พวกเขามีบุตรด้วยกันสามคน และเช่นเดียวกับพี่น้องสี่คนที่เหลือ ก็ล้วนแต่งงานกับผู้ที่มีอำนาจด้วยกันทั้งสิ้น การแต่งงานของฮุน มาเนต จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นราชวงศ์ที่กำลังเติบโตซึ่งเกี่ยวพันกับธุรกิจการเมืองและชีวิตส่วนตัว
ในเดือน พ.ย. 2554 นางจันทร์โมนี และลูกชายของนายชวง โสเพียบ (ผู้เป็นสามีของนางลอว์ มิน กัง สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครัฐบาล) ได้จดทะเบียนบริษัท Phnom Penh Toll Way Co. Ltd. และหลังจากนั้นไม่นานบริษัทนี้ก็ได้สัญญามูลค่า10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ปรับปรุงและเก็บค่าผ่านทางที่ถนน Veng Sreng Boulevard.
หนึ่งเดือนหลังจากที่ได้มีการเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งก็คือในเดือน พ.ย. 2558 นายฮุน เซน ก็ประกาศว่ารัฐบาลได้มีการซื้อบริษัทออก ในปัจจุบัน นางจันทร์โมนี เป็นประธานบริษัทจำนวนสี่แห่ง และเป็นบอร์ดคณะกรรมการบริษัทอีกหกแห่ง ตามข้อมูลทะเบียนธุรกิจที่กระทรวงพาณิชย์
นางพิช จันทร์โมนีและฮุน มาเนต เมื่อตอนรณรงค์หาเสียงที่พนมเปญในวันที่ 1 ก.ค. 2566
@สงครามที่เขาพระวิหาร
หลังจากที่เขาออกจากมหาวิทยาลัยบริสตอลในเดือน ก.พ. 2551 กัมพูชาก็เหตุขัดแย้งบริเวณชายแดนกับประเทศไทยในประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร ในช่วงเดือน มิ.ย. 2551
การปะทะกันครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีสําหรับนายฮุน เซนซึ่งใช้สถานการณ์เพื่อสร้างกระแสชาตินิยมก่อนการเลือกตั้งเดือน ก.ค. เขายังใช้โอกาสนี้ทดสอบการศึกษาที่เวสต์พอยต์ของลูกชายโดยให้เขาดูแลกองกําลังกัมพูชารอบเขาพระวิหารและส่งเขากลับไปคุมกำลังอีกครั้งเมื่อความตึงเครียดปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2554
ทางด้านของ พล.ร.อ.โรเบิร์ต วิลลาร์ด ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯประจำภูมิภาคแปซิฟิกในขณะนั้น ได้กล่าวกับคณะกรรมการรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าการที่นายฮุนเซนส่ง ฮุน มาเนต ไปยังเขาพระวิหารเสมือนกับว่าจะเป็นการดูแลฮุน มาเนต ในฐานะผู้ที่เป็นทายาท
“ความขัดแย้งในครั้งนี้สร้างเครดิตให้ฮุน มาเนต ในฐานะผู้บัญชาการทหารและในฐานะวีรบุรุษผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติจากภัยคุกคามภายนอก” พล.ร.อ.วิลลาร์ดกล่าวกับคณะกรรมการฯ
ทหารกัมพูชาโดยรอบเขาประวิหารในปี 2551
@เด็กชายผู้จะมาเป็นกษัตริย์
ในปีต่อ ๆ มาบุตรชายและลูกเขยของนายฮุน เซนมีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาลและในกองทัพในขณะที่ลูกสาวของเขากลายเป็นเจ้าสัวธุรกิจ แต่เห็นได้ชัดว่าฮุน มาเนต อยู่ในตําแหน่งสูงสุดอย่างแท้จริง
โดยในการสัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียชื่อว่า Australian Broadcasting Corporation ระบุว่านายพลหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสเหล่านี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามตอนหนึ่งว่าพ่อของเขาวางแผนจะอยู่นานแค่ไหน ฮุน มาเนตก็เริ่มยิ้มและกล่าวว่า "กัมพูชาเป็นประชาธิปไตย ตราบใดที่ประชาชนต้องการให้เขาทํา"
ฮุน มาเนต ยิ้มกว้างขึ้นอีก เมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามว่า “ถ้าหากประชาชนต้องการ เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่”
“ไม่ใช่ว่าไม่ ไม่ใช่ว่าใช้” ฮุน มาเนต กล่าว
พล.อ.เตีย บัญ (ซ้าย) ประดับยศพลเอกให้ 'ฮุน มาเนต' โดยเป็นรูปเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2566
นับตั้งแต่เริ่มมีการคาดเดาบทบาทของ ฮุน มาเนต ว่าจะเป็นผู้นำประเทศคนต่อไปค่อนข้างจะแน่นอน ตัวเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งทางทหารอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็เริ่มจะถนอมตัว ลดการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวลง และพยายามจะปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ตรงกันข้ามกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆที่มีโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักอวดนาฬิกาหรูและเครื่องบินส่วนตัว
พล.อ.ฮุน มาเนต (ที่เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลเอกเมื่อเดือน เม.ย.) กลับมีแค่บัญชีทางการเท่านั้น และยังคอยกันไม่ให้ลูกๆของเขาอยู่ในสายตาของสาธารณชนอย่างถึงที่สุด
โดยในตอนนี้ พล.อ.ฮุน มาเนต ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอของผู้สื่อข่าวที่ต้องการขอสัมภาษณ์เขาแต่อย่างใด
ในบางครั้ง พล.อ.ฮุน มาเนต แสดงความอดทนได้เพียงเล็กน้อยต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เพียง ในปี 2559 เขาบ่นกับสื่อมวลชนว่าเขาได้พบกับการประท้วงโดยชาวกัมพูชาพลัดถิ่นทุกที่ที่เขาไปในออสเตรเลีย
“ทำไมพวกเขามองลงมาที่ฉันทําให้เกิดความแตกแยกและความขัดแย้ง” ฮุน มาเนต บ่นกับผู้สื่อข่าว
นายอู๋ วิรักษ์ ประธานศูนย์รวมความคิด Phnom Penh Think Tank Future Forum กล่าวว่าประเด็นข้อครหาในอดีตเกี่ยวกับ พล.อ.ฮุน มาเนต ทําให้ตัวฮุน มาเนตรู้สึกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต ควรจะมีความสนใจอย่างจริงใจในการแก้ปัญหาการทุจริตและส่งเสริมการพัฒนา แต่นอกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายฮุน เซนยังได้ยกให้ลูกชายของเขาให้มีตำแหน่งในประเทศที่มีโครงสร้างอํานาจถูกปลอมแปลงในการต่อสู้ที่รุนแรงและมีความเชื่อมโยงกันอย่างล่อแหลม ด้วยระบบการเมืองที่ยึดมั่นเช่นนี้อะไรก็ตามที่ทําให้พวกเขาไม่พอใจอาจเป็นหายนะสําหรับตัวฮุน มาเนต ก็เป็นได้
"ในช่วงแรก การเมืองยังคงเป็นเกมที่ไม่มีผลรวมสําหรับเขา แต่มันอาจเป็นอันตรายสําหรับครอบครัวของเขา ที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง" นายวิรักษ์กล่าว
เรียบเรียงเนื้อหาและรูปภาพจาก:https://www.rfa.org/english/news/cambodia/hun-manet-profile-08042023102754.html