"...จำเลยกับพวกไปพบนาง ว. เจ้าของร้าน ว. ซึ่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบล ช. เพื่อสอบถามราคาโต๊ะและเก้าอี้มาตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่ นาง ว. แจ้งว่าไม่ได้จำหน่าย ต่อมาร้าน ส.เจ้าของร้าน ส. นำโต๊ะและเก้าอี้ 6 ชุด ราคา 27,600 บาท ไปส่งที่อาคารป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของโจทก์ โดยไม่มีการจัดซื้อตามระเบียบ และไม่มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีค่าครุภัณฑ์โต๊ะและเก้าอี้ดังกล่าวไว้ ภายหลังนาย ส. แจ้งนาง ว. ว่าไม่ได้รับเงินค่าโต๊ะและเก้าอี้ นาง ว. ได้โทรศัพท์ไปหาจำเลย แต่จำเลยแจ้งว่าไม่ได้สั่งซื้อ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข่าวเนติบัณฑิตยสภา ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ของ เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เผยแพร่ข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2224/2564 ในคดีหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหายฟ้องคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้ด้วยตนเอง นับเป็นกรณีศึกษาสำคัญ ต่อสาธารณชน
สำนักข่าวอิศรา นำรายละเอียดข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว มาเสนอต่อ ณ ที่นี้
*****************
เทศบาล ช. ในฐานะโจทก์
นาย ส. ในฐานะจำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) จำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่น
ให้ยก ฯ
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 1 ปี และ ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ฯ
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุก ฯ
ที่มาคดี
จำเลยดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลตำบลเป็นเจ้าหน้าที่งบประมาณ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ และรักษาราชการแทนหัวหน้างานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของโจทก์
จำเลยกับพวกไปพบนาง ว. เจ้าของร้าน ว. ซึ่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบล ช. เพื่อสอบถามราคาโต๊ะและเก้าอี้มาตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่ นาง ว. แจ้งว่าไม่ได้จำหน่าย
ต่อมาร้าน ส. นำโต๊ะและเก้าอี้ 6 ชุด ราคา 27,600 บาท ไปส่งที่อาคารป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของโจทก์ โดยไม่มีการจัดซื้อตามระเบียบ และไม่มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีค่าครุภัณฑ์โต๊ะและเก้าอี้ดังกล่าวไว้
ภายหลังเจ้าของร้าน ส. แจ้งนาง ว. ว่าไม่ได้รับเงินค่าโต๊ะและเก้าอี้ นาง ว. ได้โทรศัพท์ไปหาจำเลย
แต่จำเลยแจ้งว่าไม่ได้สั่งซื้อ
นาง ว. จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยสั่งซื้อโต๊ะและเก้าอี้แต่ไม่มีของ จำเลยจึงได้สั่งซื้อผ่านร้านตนไปยังร้าน ส. เมื่อถูกทวงถามเงิน จำเลยทำหนังสือแจ้งไปทางร้าน ส. ว่าไม่ได้สั่งของ
เจ้าของร้าน ส. มีหนังสือทวงถามโจทก์ให้ชำระเงินค่าโต๊ะและเก้าอี้ดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ชำระ โจทก์จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงซึ่งสรุปว่าข้อกล่าวหาของร้าน ส. น่าเชื่อว่ามีมูลความจริง
นาย ท. นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบล ช. จึงเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง
ระหว่างนั้นเจ้าของร้าน ส. ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลขอให้ชำระเงินค่าโต๊ะและเก้าอี้พร้อมดอกเบี้ย
ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยินยอมชำระเงิน 25,000 บาท ให้แก่ร้าน ส. นาย ท. อนุมัติโอนเงินงบประมาณรายจ่ายนำไปชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม
แต่ในที่สุดคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ไม่ปรากฎพยานหลักฐานว่า จำเลยเป็นผู้สั่งโต๊ะและเก้าอี้ให้แก่โจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดความเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ต้องชำระค่าโต๊ะและเก้าอี้ให้แก่ร้าน ส. สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา
การกระทำความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปัญหาต้องวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่าโจทก็มีอำนาจฟ้องหรือไม่
เห็นว่า โจทก์ฟ้องในนามเทศบาล โดยนาย ท. นายกเทศมนตรี ไม่ใช่นาย ท.ฟ้องเป็นส่วนตัว ทั้ง พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 7 และมาตรา 48 สัตตรส กำหนดให้เทศบาลตำบล ช. โจทก์เป็นทบวงการเมือง มีนายกเทศมนตรีเป็นผู้ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของเทศบาล โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2535 และนายกเทศมนตรีมีฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์ตามมาตรา 70 วรรคสอง ที่จะแสดงให้ปรากฎซึ่งความประสงค์ของโจทก์ที่เป็นนิติบุคคล
การฟ้องคดีนั้นเป็นการบริหารกิจการของเทศบาลอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีบทบัญญัติตามพ.ร.บ. เทศบาลฯ กำหนดไว้ว่าจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย นาย ท. นายกเทศมนตรีจึงมีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ที่จะฟ้องคดีนี้ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่
เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นเจ้าพนักงานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อโต๊ะและเก้าอี้ในนามของโจทก์ มิได้ซื้อส่วนตัว โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยงบประมาณขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2541 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
ข้อสังเกต
ข้อสังเกต ผู้มีอำนาจฟ้องคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้แก่ ผู้เสียหาย คณะกรรมการ ป.ป.ช.ประธาน ป.ป.ช. พนักงานอัยการ และอัยการสูงสุด(ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคสอง, 16 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 ประกอบพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบๆมาตรา 6) ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2564 ยังได้วินิจฉัยถึงอำนาจฟ้องของผู้เสียหายที่เป็นหน่วยงานของรัฐคือ เทศบาลตำบล ช. ที่มีฐานะนิติบุคคลด้วย
จากดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ประจำปี2565 ประเทศไทยได้ 36 คะแนน (เต็ม 100) จัดอยู่ในลำดับที่ 101 ของโลก (ดีขึ้นกว่าปี 2564 ที่ได้ 35 คะแนน) ย่อมแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยที่ยังคงมีความร้ายแรง ในขณะที่การดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของหน่วยงานของรัฐโดยปกติแล้วจะต้องร้องทุกข์ไต่สวนหรือสอบสวนดำเนินคดีผ่านคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย และฟ้องร้องโดยพนักงานอัยการตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมักต้องใช้เวลาในการดำเนินคดีเป็นเวลายาวนานกว่าการสอบสวนฟ้องร้องคดีอาญาหลัก
สาเหตุหนึ่งน่าจะเพราะกระบวนการขั้นตอนในส่วนของการตรวจสอบเบื้องต้น การไต่สวนเบื้องต้น การมีความเห็นและวินิจฉัย การมีมติชี้มูลซึ่งต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช. หลายรอบ ทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาล
ดังนั้น นอกจากการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจมอบหมายเรื่องที่ไม่ร้ายแรงให้พนักงานลอบสวนดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามมาตรา 63 และมาตรา 63 หรือส่งให้สำนักงานป.ป.ท. ตำเนินการตามมาตรา 62 หรือส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชา ตามมาตรา 24แล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และทำให้กระบวนการตรวจสอบการทุจริตและบังคับใช้กฎหมายด้านการปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เห็นว่ารัฐควรส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลฟ้องคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไต้เองอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งในทางปฏิบัติมีเพียงบางหน่วยงานเท่านั้นที่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีทุจริตได้ด้วยตนเองอยู่เป็นประจำ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวมทั้งตามตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2564 ข้างต้นที่หน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลบางแห่งดังเช่นเทศบาลตำบล ช. ไต้ใช้สิทธิของผู้เสียหายฟ้องคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเอง
โตยกระบวนการพิจารณาไต่สวนตั้งแต่วันฟ้องคดีเริ่มในปี 2559 จนถึงวันที่ตาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลขั้นต้น) อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 จะเห็นได้ว่าใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปีเศษ ซึ่งผลของการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ด้วยตนเองของผู้เสียหายนั้น
ย่อมทำให้การบังคับใช้กฎหมายทั้งด้านการปราบปรามและป้องกันการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เสมอภาค รวดเร็วและเป็นธรรม ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายในการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหายฟ้องคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเองนั้น ในขณะเดียวกันก็ควรต้องมีมาตรการป้องกันการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตโดยสมยอมกันเพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของพนักงานอัยการหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระงับไป เพราะได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
**********
อนึ่งการเผยแพร่ ข่าวเนติบัณฑิตยสภา เกี่ยวกับข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว มิได้มีการระบุรายชื่อ จำเลย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ด้วย สำนักข่าวอิศรา จึงไม่สามารถติดต่อฝ่ายจำเลย-หน่วยงานเพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านได้
หากมีรายละเอียดเพิ่มเติม สำนักข่าวอิศรา จะรีบนำมาเสนอให้สาธารณชนรับทราบต่อไป