"...ในโถงผู้โดยสารขาออกเจ้าหน้าที่ได้มีการแจกแผ่นพับให้กับผู้โดยสารระบุถึงรายการยาโดยทั่วไปและชื่อของยาที่รู้จักกันโดยสามัญ หรือชื่อบนท้องถนน รูปลักษณ์ของยาเสพติดและผลกระทบต่อสภาพจิตถ้าหากมีการใช้ยาเหล่านี้ และยังระบุด้วยถึงโทษสูงสุดของความผิดในฐานยาเสพติด แผ่นพับเหล่านี้ยังมีการระบุถึงคำแนะนำระบุว่าผู้ที่บริโภคยาเสพติดที่ผิดกฎหมายในต่างประเทศนั้นจะมีความผิด จะต้องถูกจับและต้องโทษเช่นเดียวกับการกระทำความผิดกฎหมายยาเสพติดในประเทศสิงคโปร์ ..."
สืบเนื่องจากนโยบายด้านกัญชาของประเทศไทย ที่ ณ เวลานี้ที่ยังมีข้อถกเถียงว่าควรจะต้องถอนนโยบายเสรีกัญชาของพรรคภูมิใจไทยออกไปหรือไม่ แต่ระหว่างที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้นั้นก็มีรายงานข่าวว่าประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยอย่างประเทศสิงคโปร์นั้นต้องมีการออกมาตรการเฝ้าระวังกัญชาจากประเทศไทยแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเสนอมาตรการป้องกันกัญชาดังกล่าวนี้ อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวแชนนอล นิวส์ เอเชีย (์CNA) ว่ามีอะไรบ้างมีรายละเอียดดังนี้
หลังจากสองปีของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ต้องหยุดชะงัก และทำให้สนามบินชางงีต้องกลายเป็นสนามบินร้าง บัดนี้สนามบินแห่งนี้เริ่มจะมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ว่าการกลับมานั้น ก็มีความท้าทายขึ้นมาอีกประการหนึ่งสำหรับหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศสิงคโปร์ นั่นก็คือนโยบายกัญชาถูกกฎหมายในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่อนุมัตินโยบายดังกล่าวไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ดังนั้นด้วยจำนวนผู้โดยสาร 16.5 ล้านคนที่จะเข้าออกสนามบินในปีนี้ จึงทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าสิงคโปร์จะป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเข้าประเทศได้อย่างไร
โดยจากการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของสำนักข่าว CNA นั้นพบว่ากระบวนการตรวจสอบและป้องกันนั้นเริ่มต้นตั้งแต่สายพานเลื่อนกระเป๋าเมื่อเครื่องบินได้ลงจอดแล้ว
ที่สนามบินแห่งนี้นั้นมีสุนัขตำรวจสายพันธุ์อิงลิช สปริงเกอร์ สเปเนียลชื่อว่าไบเลย์ อายุ 6 ปีครึ่ง ซึ่งทำงานภายใต้การกำกับดูแลของจ่าไรอัน โลว์ ทำหน้าที่ดมกลิ่นกระเป๋าเดินทางบุกใบที่มาถึงประเทศสิงคโปร์เพื่อจะหายาเสพติด โดยถ้าหากมีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับสุนัขตำรวจแล้ว กระเป๋ากล่าวก็จะถูกดึงออกมาสายพานเพื่อนำไปสู่การตรวจค้น
มาตรการใช้สุนัขตำรวจตรวจหายาเสพติดที่สนามบินชางงี (อ้างอิงวิดีโอจาก CNA)
ขั้นตอนถัดมาก็คือการตรวจแบบสุ่มสำหรับผู้โดยสารขาเข้า ในโถงผู้โดยสารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยถ้าหากมีผู้โดยสารที่ต้องสงสัย ก็จะมีการเรียกผู้โดยสารคนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ โดยกระเป๋าเดินทางของนักเดินทางคนดังกล่าวนั้นจะต้องเข้าสู่เครื่องเอกซเรย์สแกนเนอร์เป็นขั้นตอนแรก
หลังจากการตรวจเอกซเรย์แล้ว ขั้นตอนถัดมาก็คือการตรวจผ่านเครื่องที่เรียกกันว่าไอออนสแกน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความทันสมัย สามารถตรวจจับปริมาณของสารเสพติดหรือว่าวัตถุระเบิดได้ แม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่จะมีการแยกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาออกจากสัมภาระอื่นๆ
โดยถ้าหากเครื่องไอออนสแกนนั้นส่งเสียงดัง บ่งชี้ว่ามียาเสพติด ผู้โดยสารคนดังกล่าวจะถูกพาตัวไปยังสำนักงานตรวจสอบสัมภาระของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและจุดตรวจ (ICA) เพื่อที่จะคัดกรองอย่างละเอียดขึ้น ซึ่งในห้องสำนักงานตรวจสอบนั้นจะมีจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานสำนักยาเสพติดกลาง (CNB) ทำหน้าที่ค้นสิ่งของอย่างละเอียดทุกชิ้น ขณะที่ผู้โดยสารนั้นจะคอยเฝ้าดูและตอบคำถามของเจ้าหน้าที่
หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการตรวจค้นร่างกาย ซึ่งถ้าหากผู้โดยสารเป็นผู้หญิง เจ้าหน้าที่หน่วย CNB ที่เป็นผู้หญิงก็จะดำเนินการตรวจสอบในอีกห้องหนึ่ง
โดยที่ผ่านมานั้นมีกรณีที่ผู้โดยสารผู้หญิงคนหนึ่งถูกตรวจพบว่ามีสิ่งต้องสงสัยเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกขนาดเล็กบรรจุห่อที่มีวัตถุสีน้ำตาล ยัดเข้าไปในลูกอมดับกลิ่นปากที่ดูไม่น่าจะมีอะไร
เจ้าหน้าที่จึงได้นำเอาตัวอย่างของวัตถุสีน้ำตาลดังกล่าวนี้มาตรวจสอบในชุดตรวจคัดกรองยาเสพติดแบบพกพาที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินฝ่ามือ ซึ่งเครื่องมือตรวจจับดังกล่าวนั้นมีการใช้งานตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมาแล้ว โดยมีศักยภาพในการตรวจจับสารควบคุมหลากหลายชนิด สามารถแสดงผลแทบจะในทันทีจนถึงภายในระยะเวลาห้าวินาที ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นสามารถยืนยันผลได้เร็วกว่าเดิมถึงสี่เท่า
โดยในการทดสอบดังกล่าวนั้นผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเป็นสีม่วง บ่งชี้ว่ามียาที่ต้องได้รับการควบคุมอยู่ ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะต้องสงสัยว่าผู้โดยสารคนนี้ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการจับกุมเธอ โดยใส่กุญแจมือและดำเนินการตรวจหาปัสสาวะต่อไป
ชุดตรวจกัญชาตัวใหม่ที่ใช้ในสนามบินชางงี
@กระบวนการป้องกันและการให้การศึกษา
นอกเหนือจากการเพิ่มความพยายามตรวจจับหายาเสพติดของประเทศสิงคโปร์ เจ้าหน้าที่ CNB ยังได้พยายามที่จะออกคำเตือนไปและให้ข้อมูลส่งไปถึงผู้โดยสารเกี่ยวกับผลกระทบหากมีการเข้าประเทศสิงคโปร์ด้วยยาเสพติด
โดยในโถงผู้โดยสารขาออกเจ้าหน้าที่ได้มีการแจกแผ่นพับให้กับผู้โดยสารระบุถึงรายการยาโดยทั่วไปและชื่อของยาที่รู้จักกันโดยสามัญ หรือชื่อบนท้องถนน รูปลักษณ์ของยาเสพติดและผลกระทบต่อสภาพจิตถ้าหากมีการใช้ยาเหล่านี้ และยังระบุด้วยถึงโทษสูงสุดของความผิดในฐานยาเสพติด แผ่นพับเหล่านี้ยังมีการระบุถึงคำแนะนำระบุว่าผู้ที่บริโภคยาเสพติดที่ผิดกฎหมายในต่างประเทศนั้นจะมีความผิด จะต้องถูกจับและต้องโทษเช่นเดียวกับการกระทำความผิดกฎหมายยาเสพติดในประเทศสิงคโปร์
โดยโทษของการกระทำความผิดดังกล่าวนี้ก็คือโทษจำคุกสิบปี ปรับเป็นเงิน 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (529,053 บาท) หรือทั้งจำทั้งปรับถ้าหากมีการบริโภคยาเสพติดต้องควบคุมในต่างประเทศ
ทั้งนี้การให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายของประเทศสิงคโปร์ที่จะมีผลบังคับใช้แม้จะอยู่นอกอาณาเขตของประเทศสิงคโปร์นั้นถูกพบเห็นอยู่บนป้ายสแตนดี้หลายจุดก่อนที่จะเข้าสู่พื้นที่หวงห้ามของโถงผู้โดยสารขาออก
สแตนดี้ดังกล่าวได้ออกคำเตือนด้วยเช่นกัน ระบุว่าผู้โดยสารนั้นไม่สามารถจะนำเข้าหรือขายทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชา (CBD),ผลิตภัณฑ์ที่บรรจุกัญชา,น้ำมันกัญชา,กัญชงหรือตัวน้ำมันกัญชงได้
โดยผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าวนี้นั้นอาจจะมีสารที่เรียกกันว่าเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางจิตที่มักจะพบได้ในกัญชาและสารดังกล่าวนั้นถูกระบุให้เป็นยาเสพติดต้องห้ามประเภทเอในประเทศสิงคโปร์
อนึ่งมาตรการทั้งหมดนี้นั้นเป็นสิ่งที่ทางสิงโปร์เพิ่งจะมีการบังคับใช้ภายหลังจากการเปิดพรมแดน และการเดินทางกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป ซึ่งการเดินทางไปยังต่างประเทศที่ว่ามานั้นก็รวมไปถึงประเทศไทยและประเทศที่อยู่ใกล้เคียง
@การจับกุมที่สนามบินชางงีมากขึ้น
ทั้งนี้ด้วยการเริ่มต้นการเดินทางในต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งหลังจากการระบาดใหญ่ พบว่ามีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดที่พรมแดนสิงคโปร์มากขึ้น
โดยในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ CNB ได้มีการจับกุมชาวสิงคโปร์และจับกุมผู้ที่อยู่อาศัยถาวรได้เป็นจำนวน 41 ราย ด้วยข้อหาว่าต้องสงสัยว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่จุดตรวจผ่านเข้าเมืองของประเทศในช่วงปีนี้
และล่าสุดก็มีรายงานด้วยว่าเมื่อประมาณวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา มีกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์นั้นอ้างตัวว่าบริโภคกัญชาไปโดยไม่ตั้งใจเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นผักบุ้งระหว่างสั่งก๋วยเตี๋ยวในร้านแห่งหนึ่งใน จ.เชียงราย และไม่มีการเตือนที่ชัดเจนจากพนักงานร้าน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นก็ทำให้ชาวสิงคโปร์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมาก และมีการให้ความเห็นส่วนหนึ่งว่าเนื่องจากความผิดพลาดและไม่มีการให้ข้อมูลที่ชัดเจนดังกล่าวนั้น ก็ยังไม่สมควรที่จะเดินทางไปยังประเทศไทย ณ เวลานี้ ส่วนความเห็นของชาวสิงคโปร์คนอื่นๆ ก็วิจารณ์ว่าจะเป็นเรื่องยากเกินความสามารถของบุคคลทั่วไปหรือไม่ที่จะแยกแยะกัญชาออกจากผักอื่นๆ
ข่าวชาวสิงคโปร์ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย อ้างว่าบริโภคกัญชาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งนี้กลับมาที่ตัวเลขการจับกุมดังกล่าวนั้นพบว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 6 รายตลอดทั้งปี และ 30 รายในช่วงตลอดทั้งปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น การจำกัดการเดินทางยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
อย่างไรก็ตามตัวเลขการจับกุมดังกล่าวนั้นก็ยังคงห่างไกลจากช่วงปีก่อนวิกฤติโรคระบาด ซึ่งมีตัวเลขการจับกุมอยู่ที่ประมาณ 120 ครั้ง
เรียบเรียงจาก:https://www.channelnewsasia.com/singapore/changi-airport-drug-check-enforcement-traveller-thailand-cannabis-2957591,https://theindependent.sg/singaporean-woman-in-thailand-mistakenly-eats-cannabis-in-noodle-soup-says-it-looked-like-kangkung/