“…เครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยใช้ลมหายใจนี้ ถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยฯ ที่ไม่ต้องเจ็บตัว สามารถรู้ผลตรวจได้ภายใน 5 นาที ทำให้สามารถทำการคัดแยกผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อให้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันท่วงที และลดโอกาสในการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในวงกว้างได้ มีค่าใช้จ่ายในการตรวจไม่เกิน 10 บาท/คน...”
แม้ว่าหลายประเทศทั่วโลก จะปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้แล้ว มีทั้งวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อรุนแรง และเสียชีวิต แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า การตรวจหาผู้ติดเชื้อยังคงมีความจำเป็ฯอยู่ เพราะโควิด-19 เป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ และการตรวจด้วยวิธี ได้แก่
-
RT-PCR (Real Time PCR) เป็นการ Swab เพื่อเก็บสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบนเข้าตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ (Lab) โดยต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล รอผลตรวจประมาณ 24-72 ชั่วโมง เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงและสามารถยืนยันผลได้ทันที แต่รอผลนาน
-
Antigen Test Kit (ATK) วิธีการตรวจด้วยตนเองด้วยชุดตรวจโควิด-19 โดยสามารถตรวจด้วยตัวเองที่บ้าน เก็บสารคัดหลังโดยอ่านผลทดสอบบน Strip Test ใช้ตรวจคัดกรองในเบื้องต้น โดยรอผลตรวจประมาณ 15-30 นาที เป็นวิธีที่อาจมีความคลาดเคลื่อน และหากเชื้อไม่เยอะมากพอ อาจจะตรวจไม่เจอ แต่ได้ผลเร็ว
การตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ ยังคงถือเป็นมาตรการที่สำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาด เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล และคณะ พยายามคิดค้นนวัตกรรมมารับมือสถานการณ์นี้ นั่นคือ การพัฒนาระบบต้นแบบเครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบบไม่เจ็บตัว โดยการวิเคราะห์โปรไฟล์จากลมหายใจ
น.ส.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นหนึ่งในปัญหาที่มีความสำคัญ และยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน หากไม่มีมาตรการหรือยุทธศาสตร์เชิงรุกในการควบคุมเชื้อโรคได้ดี อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้อีกในอนาคต
ทาง วช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงให้ทุนสนับสนุน 'การพัฒนาระบบต้นแบบเครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยการวิเคราะห์โปรไฟล์จากลมหายใจ' ที่ทางผู้วิจัยและคณะร่วมกันพัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์รูปแบบใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกในการคัดกรองผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว
นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ กล่าวว่า นวัตกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจากการบูรณาการความเชี่ยวชาญของทีมผู้พัฒนาที่มาจากหลายหน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ โรงพยาบาลราชวิถี มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคเอกชน โดยระบบต้นแบบเครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยใช้ลมหายใจนี้ นับได้ว่าเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยฯ ที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องแยงจมูก ไม่ต้องเจาะเลือด และไม่ต้องใช้น้ำลาย
วิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่มีความไว (Sensitivity) และความจำเพาะ (specificity) สูง สามารถรู้ผลตรวจได้ภายใน 5 นาที ทำให้สามารถทำการคัดแยกผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อให้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันท่วงที และลดโอกาสในการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในวงกว้างได้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการตรวจไม่เกิน 10 บาท/คน
“สำหรับทุนนวัตกรรมนี้ อยู่ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาทในการดำเนินการวิจัย แต่สำหรับตัวเครื่อง ในต่างประเทศ ผลิตได้ในต้นทุนที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนไทย สามารถผลิตได้ตัวเครื่องได้ โดยต้นทุนอยู่ที่หลักแสน ส่วนการใช้งานต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 10 บาท/คน ซึ่งขณะที่ได้มีการเก็บข้อมูลและได้พัฒนา คาดว่าในอนาคต ต้นทุนในการตรวจของผู้ป่วยจะอยู่ที่ 2-3 บาท/คนเท่านั้น” นายพิศิษฐ์ กล่าว
ด้าน นายเธียร์สิทธิ์ นาสัมพันธ์ นักวิจัยหลังปริญญาเอก จากภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในคณะผู้พัฒนาฯ เปิดเผยว่า งานวิจัยนี้เป็นการสร้างเครื่องสำหรับวิเคราะห์ลมหายใจ เพื่อจำแนกกลิ่นที่แตกต่างกันของคนติดเชื้อกับคนไม่ติดเชื้อ ซึ่งเป็นการต่อยอดองค์ความรู้เดิม ที่มีการพัฒนาเครื่องที่วิเคราะห์ลมหายใจในการวิเคราะห์โรคมาแล้ว โดยเครื่องแรกคือ เครื่องตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือดโดยใช้ลมหายใจ ซึ่งใช้งานกับโรคเบาหวานมาแล้วกว่า 10 ปี ทำให้มีฐานข้อมูลและองค์ความรู้ เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเกิดแนวคิดในการฟอร์มทีมที่จะนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ ต่อยอดกับความเชี่ยวชาญของหน่วยงานต่างๆ ในการสร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ขึ้น
“ทีมวิจัยเริ่มเก็บข้อมูลและทดสอบเบื้องต้นตั้งแต่ปี 2563 เมื่อมีข้อมูลมากพอจนเกิดความมั่นใจ จึงเริ่มขออนุญาตทำการทดสอบในคนอย่างเป็นทางการ และเก็บตัวอย่างมากขึ้นที่โรงพยาบาลราชวิถี ต่อมาได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก วช. ในปี 2564 ทำให้สามารถเก็บตัวอย่างได้จำนวนมากขึ้นและพัฒนาต้นแบบออกมาได้อย่างรวดเร็ว” นายเธียร์สิทธิ์ ระบุ
สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาฯ เป็นการนำเทคโนโลยีที่เรียกว่าจมูกอิเล็กทรอนิกส์ หรือก๊าซเซ็นเซอร์ มาตรวจวัดสารระเหยอินทรีย์ หรือกลิ่นที่เป็นสารบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biological marker) จากลมหายใจ ซึ่งทีมวิจัยมีฐานข้อมูลที่สามารถจดจำและจำแนกกลิ่นที่แตกต่าง ระหว่างคนที่ติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อได้
นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบ Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการประมวลผลทำให้สามารถวิเคราะห์และตรวจคัดกรองได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันมีความแม่นยำประมาณ 97% จากฐานข้อมูลของทีมวิจัยที่มีอยู่ประมาณ 3,000 ตัวอย่าง
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยได้มีการเก็บตัวอย่างการคัดกรองโควิด-19 จากผู้เข้าชมงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565 ซึ่งเป็นการนำต้นแบบนวัตกรรมออกมาทดสอบใช้งานกับกิจกรรมภายนอกโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก และจะมีการนำเอาข้อมูลกลับไปปรับปรุงนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นวัตกรรมนี้ ได้ขอจดสิทธิบัตรแล้ว 12 ประเทศใน 6 ทวีป และอยู่ระหว่างการดำเนินการส่งตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติที่มีคุณภาพ รวมถึงมีแผนในการขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรม บัญชีสิ่งประดิษฐ์ และการทำมาตรฐานต่าง ๆ ให้เป็นที่ยอมรับ คาดว่า จะสามารถผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้ และอนาคตจะสามารถประยุกต์ใช้งานเครื่องดังกล่าวกับการตรวจคัดกรองโรคอื่น ๆ ที่ใช้ลมหายใจเป็นตัวบ่งชี้หรือบ่งบอกสภาวะผิดปกติได้
นอกจากนี้ เครื่องตรวจโควิด-19 ด้วยลมหายใจ กำลังขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์ ถ้าได้รับการอนุมัติเมื่อไหร่ก็พร้อมจะนำมาใช้งานกับประชาชนทันที โดยคาดว่าจะได้ใช้ภายในสิ้นปีนี้
ถือได้ว่าเป็นความสำหรับของประเทศไทย ในการคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์นี้ขึ้น ต้องติดตามต่อไปว่า เราจะได้ใช้เครื่องตรวจคัดกรองนี้เมื่อไหร่