"...ชี้ขาดให้ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฎฐ์หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้..."
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้วว่า เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2565 สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคัม ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 หนึ่งในนั้นเป็นข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กรณี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยในป่าแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2557
สำหรับรายละเอียดหนังสือดังกล่าว มีดังนี้
ตามหนังสือที่อ้างถึง ส่งสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 90/2562 พ่วงสำนวนคดีสืบพยานก่อนฟ้อง เลขรับที่ 1/2562 ของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 คดี นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกรวม 4 ผู้ต้องหา
ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่คว่ามตาย
ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่จะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
พร้อมความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ ไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาด ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ต่อมาตามหนังสือที่อ้างถึง (2) ส่งสำนวนพร้อมผลการสอบสวนเพิ่มเติมมาเพื่อประกอบการพิจารณาชี้ขาดนั้น
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีที่ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้เอาทรัพย์สินดังกล่าวของ นายพอละจี ไป จึงมิได้กระทำขณะที่มีการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้กระทำไปด้วยสาเหตุส่วนตัวมิใช่ด้วยกระทำการตามหน้าที่ที่ใช้อำนาจในตำแหน่ง จึงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด
ทั้งการที่นายพอละจีมอบทรัพย์สินนั้นให้ก็ไม่ได้เกิดจากการข่มขืนใจให้มอบซึ่งทรัพย์สิน และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าได้มีการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของนายพอละจี จนนายพอละจีต้องยอมเช่นว่านั้น
แต่มีมูลเหตุมาจากผู้ต้องหาทั้งสี่ต้องการจับกุมตัวนายพอละจีไปเท่านั้น การเอาทรัพย์ดังกล่าวไปจึงมิใช่การเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต และข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้ซึ่งทรัพย์สินแก่ตนเองหรือผู้อื่น
ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนหรือขณะเกิดเหตุคดีนี้ผู้ต้องหาทั้งสี่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์สินของ นายพอละจี ที่ได้นำติดตัวไปด้วยแต่อย่างใด เนื่องจากทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้มีมูลค่าสูง แต่เป็นเพียงการอำพรางคดีที่ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้กระทำไปเนื่องจากมีเจตนาประสงค์ต่อชีวิตของนายพอละจีเท่านั้น
การที่ผู้ต้องหาทั้งสี่นำทรัพย์สินของนายพอละจีไปซุกซ่อนเพื่อมิให้บุคคลใดพบเห็นทรัพย์ดังกล่าว จึงมิได้กระทำไปโดยมีเจตนาทุจริตที่อยากได้ทรัพย์สินของนายพอละจีแต่อย่างใด
การกระทำดังกล่าวจึงไม่ครบองค์ประกอบ ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วย เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
จึงมีคำสั่งดังนี้
1.ชี้ขาดให้ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฎฐ์หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง
ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
ร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 289 (4) (7) , 309, 310 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2542 มาตรา 5
2.ชี้ขาดไม่ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 และนายธนเสฎฐ์หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง
ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยช ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 147 , 148, 337 , 340 , 340 ตรี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 3 , 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 , 6 , 7 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ 14 , 15
3.ชี้ขาดไม่ฟ้อง นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยยู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 86 , 147 , 148 , 337 , 340 , 340 ตรี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 3 , 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 , 6 , 7 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ 14, 15
ทั้งนี้ ได้ส่งสำนวนคดีอาญาดังกล่าวไปให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินการต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ดี กรณีนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า ปัจจุบันศาลรับฟังฟ้องแล้วหรือไม่ และกระบวนการพิจารณาคดีของศาลยังไม่ถึงที่สุด ดังนั้นนายชัยวัฒน์และพวก ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนผลคดีจากนี้เป็นอย่างไร ยังคงต้องติดตามต่อไป