“คุณยังคงมีความเสี่ยงต่ออาการต่างๆ เช่นปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ภาวะการหายใจไม่ออก ควบคู่กับปัญหาหัวใจ อาการโควิดระยะยาวหรือว่าลองโควิด และที่สำคัญมีความเสี่ยงว่าจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่าที่คุณคิดเอาไว้” พ.ญ.แบกซ์เตอร์กล่าวและกล่าวต่อไปว่าหรือก้คือถ้าได้รับโควิดมากเท่าไร โอกาสที่จะมีผลกระทบในทางลบที่เลวร้ายจริงๆก็มีมากขึ้นเท่านั้น
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ เวลานี้ แม้ว่าจะมีการพูดถึงคำว่าโรคประจำถิ่น มีการยกเลิกมาตรการให้สวมใส่หน้ากากในที่สาธารณะ และการออกคำสั่งให้ยกเลิก ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด - 19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวในอีกแง่มุมก็มีความน่ากังวลเช่นกัน เมื่อมีการพบการระบาดของผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มากขึ้น และโควิดดังกล่าวก็มีทั้งศักยภาพในการหลบภูมิสูงทำให้ติดเชื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น และมีศักยภาพในการแพร่เชื้อสูงซึ่งเป็นลักษณะเด่นอยู่แล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้สืบค้นรายงานในต่างประเทศมานำเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอน BA.4 และ BA.5 จนพบว่าในต่างประเทศได้มีการวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้ไวรัสโควิดหลังจากนี้ โดยเฉพาะที่มาจากการติดเชื้อซ้ำนั้นอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกก็เป็นได้
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
มีผลงานวิจัยในขั้นต้นบ่งชี้ว่าถ้าคุณติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าหนึ่งครั้ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คุณจะเจอกับปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
ที่ประเทศออสเตรเลียนั้นกำลังพบเห็นการติดเชื้อไวรัสโควิดซ้ำได้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการเติบโตของโควิดโอไมครอน 2 สายพันธุ์ย่อยที่สำคัญก็คือ BA.4 และ BA.5 ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นคาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ครองส่วนแบ่งในประเทศออสเตรเลียสูงสุดในเวลาไม่ช้านี้
โดยที่ผ่านมานั้นมีการคาดหวังกันว่าการติดเชื้อซ้ำจะไม่ทำให้เกิดอาการทางสุขภาพที่รุนแรงเมื่อเทียบกับการติดเชื้อครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม พ,ญ.แนนซี่ แบกซ์เตอร์ จากวิทยาลัยประชากรและสุขอนามัยโลกที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้กล่าวว่าหากดูจากข้อมูลในฐานข้อมูลของกรมกิจการทหารผ่านศึกแห่งสหรัฐอเมริกาพบนี่มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
อนึ่ง การศึกษาที่ยังไม่มีการทบทวนนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจะมีผลประโยชน์บางประการต่อภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัส แต่ก็มีโอกาสที่จะมีผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการติดเชื้อในแต่ละครั้งอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานว่าการติดโควิดนั้นอยู่ในเทรนด์พุ่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะมาจากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว และผู้ที่คิดว่าเคยติดโควิดไปแล้วแล้วจะไม่เป็นอีกครั้งอาจต้องคิดใหม่
“คุณยังคงมีความเสี่ยงต่ออาการต่างๆ เช่นปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ภาวะการหายใจไม่ออก ควบคู่กับปัญหาหัวใจ อาการโควิดระยะยาวหรือว่าลองโควิด และที่สำคัญมีความเสี่ยงว่าจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่าที่คุณคิดเอาไว้” พ.ญ.แบกซ์เตอร์กล่าวและกล่าวต่อไปว่าหรือก้คือถ้าได้รับโควิดมากเท่าไร โอกาสที่จะมีผลกระทบในทางลบที่เลวร้ายจริงๆก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ประเด็นถัดมาก็คือว่าผลประโยชน์ที่ได้มาจากการมีภูมิคุ้มกันผ่านการติดเชื้อนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป ทำให้โอกาสติดเชื้อซ้ำมากขึ้นตามไปด้วย
“ในช่วงเดือนแรก หรือประมาณสองเดือนอย่างมาก หลังจากคุณเคยติดเชื้อโอไมครอน คุณจะมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอน แต่ว่าหลังจากนั้นภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
สรุปรายงานการกลายพันธุ์ของโควิด (อ้างอิงวิดีโอจาก ABC )
ส่วน พ.ญ.ดีปติ กูร์ดาราซานี จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยควีนแมรีออฟลอนดอน ได้ให้ความเห็นผ่านทวิตเตอร์ไปในทางทิศทางเดียวกันก็คือว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นอาจมีนัยยะสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิดซ้ำไปเลยก็เป็นได้
“มันเริ่มเป็นที่ชัดเจนว่าความคิดที่ว่าการติดเชื้อซ้ำแล้วจะมีอาการไม่รุนแรง หรือว่าอาการอ่อนนั้นอาจจะไม่จริงเสมอไปก็เป็นได้” พ.ญ.กูร์ดาราซานีทวีต และทวีตต่อว่า “เห็นได้ชัดเจนว่าการติดเชื้อซ้ำนั้นสามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
@ช่องว่างของฐานข้อมูลในออสเตรเลีย
ในรัฐวิกตอเรียมีรายงานว่าพบการติดเชื้อซ้ำกว่า 20,000 ราย ส่วนที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ก็พบว่ามีการติดเชื้อซ้ำอีกกว่า 11,300 ราย ซึ่งกว่าครึ่งของจำนวนนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ที่พบการระบาดของโควิดสายพันธ์โอไมครอน
แต่ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์เชื่อว่าตัวเลขนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมีนัยยะสำคัญ
“ตัวเลขที่เรามีไม่ดีนัก เพราะว่าการติดเชื้อซ้ำไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เนื่องจากว่าทางการไม่ได้ให้มีการบันทึกว่าเป็นการติดเชื้อซ้ำ ถ้าหากคุณติดเชื้ออีกครั้งภายในระยะเวลา 4 เดือน” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
@ฐานข้อมูลที่อินเดีย
ส่วนที่ประเทศอินเดียเองก็พบว่ามีการสำรวจประชากรก็พบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการติดเชื้อซ้ำเช่นกัน อาทิ 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่พบว่าติดเชื้อซ้ำจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอนภายในระยะเวลา 6 เดือน พบว่ามีอาการป่วยรุนแรงกว่าการติดเชื้อครั้งแรก
และที่สำคัญก็คือผู้ที่ติดเชื้อซ้ำภายในระยะเวลา 6 เดือน พบว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลุ่มดังกล่าวนั้นติดเชื้อซ้ำจากการติดเชื้อในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังการติดเชื้อครั้งแรก ส่วนอีก 27 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั้นเป็นการติดเชื้อหลังจากผ่านการติดเชื้อไปแล้ว 6 เดือน
ทั้งนี้จากข้อมูลการจัดลำดับพันธุกรรมในประเทศอินเดียยังแสดงให้เห็นว่าการระบาดส่วนมากในประเทศนั้นยังคงเป็นโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 คิดเป็นสัดส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าโอไมครอนสายพันธุ์ BA.5 นั้นพุ่งมาอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์ และตามมาด้วยโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2.12.1
โดยในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศอินเดียไม่ได้มีการใช้มาตรการควบคุมโรคและประชาชนก็หลั่งไหลกันกลับภูมิลำเนา ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้นพบว่ามีผู้ติดโควิดรายใหม่พุ่งสูงขึ้นกว่า 12,000 รายต่อวัน
และย้อนไปเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผลวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยวอชิงตัน รายงานว่าพบว่ากลุ่มผู้ที่ติดโควิดเป็นครั้งที่สองซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวนั้นมีอาการป่วยที่รุนแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน และยังพบว่าผู้ที่ติดเชื้อซ้ำในระยะเวลา 8 วัน พบว่ามีโอกาสจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นถึง 12 เท่า และมีโอกาสต้องเข้ารับการรักษาในห้องดูแลพิเศษหรือว่าไอซียูเพิ่มขึ้น 2 เท่า
ในรายงานยังได้ระบุอีกว่าในกรณีของการติดเชื้อซ้ำนั้นจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะดังต่อไปนี้
ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนถึงการระบาดของโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติต่อปอดนั้นอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์,ความผิดปกติของเลือดโดยอยู่ที่ 2.6 เปอร์เซ็นต์, ความเมื่อยล้าอยู่ที่3.3 เปอร์เซ็นต์, อาการผิดปกติที่ไตอยู่ที่ 1.4 เปอร์เซ็นต์, ปัญหาสุขภาพจิตอยู่ที่ 12.1 เปอร์เซ็นต์, ปัญหาโรคเบาหวานโดยอยู่ที่ 2.2 เปอร์เซ็นต์ และความผิดปกติทางระบบประสาทอยู่ที่ 3.6 เปอร์เซ็นต์
อนึ่งการสำรวจดังกล่าวนั้นเป็นการเก็บข้อมูลจากประชากร 35,000 ราย ใน 301 แคว้นทั่วอินเดีย โดยผู้ที่ตอบคำถามนั้นประกอบไปด้วย 67 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นผู้ชาย อีก 33 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิง
@การติดเชื้อที่ไม่เป็นที่รายงาน
กลับมาที่ออสเตรเลีย ณ เวลานี้นั้นมีรายงานว่ามีการรายงานผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ 30,000 รายต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้นั้นถือว่าต่ำกว่าช่วงสูงสุดของการระบาดในต้นปี 25565 ที่มีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 100,000 ราย
แต่ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวเตือนว่าตัวเลขที่ว่านี้อาจจะน้อยกว่าความจริงมากเนื่องจากว่าออสเตรเลียที่เริ่มจะมีการผ่อนคลายมาตรการบางอย่างไปแล้วนั้นอาจจะไม่ได้มีการบันทึกและเก็บข้อมูลในรูปแบบเดียวกับในอดีต
“เรารู้ว่าการตรวจพีซีอาร์นั้นเป็นเรื่องที่เริ่มจะยากขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะมีการบันทึกผลการตรวจแบบ ATK กันได้ทุกคน และที่สำคัญก็คือไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวต่อไปว่าคาดว่าหลังจากที่มีการลดการสวมใส่หน้ากากไปแล้ว ประกอบกับการที่ภูมิคุ้มกันที่มาจากการติดเชื้อในช่วงเดือน ม.ค.เริ่มจะเสื่อมถอยลงนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีตัวเลขการติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งขึ้นมาอีก
“เรามีช่วงเวลา 6 สัปดาห์ที่ตัวเลขนั้นจะลดลง แต่ว่าตอนนี้เราเห็นตัวเลขไปในอีกทิศทางหนึ่ง ก็คือว่ามันพุ่งขึ้นและพุ่งขึ้นอีก” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว และกล่าวไปยังนักระบาดวิทยาคนอื่นๆเพื่อให้ช่วยกันเรียกร้องให้มีการรณรงค์เรื่องการสวมใส่หน้ากากให้มากขึ้น และให้มีการปรับปรุงระบบถ่ายเทอากาศให้ดีขึ้นเพื่อจะลดโอกาสของการแพร่กระจายเชื้อ
อนึ่งเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียได้มีการลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์คิดเป็นมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (269,817,927 บาท) เพื่อจะรณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนในโดสสามกัน ซึ่งตรงนี้ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวว่าน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อหรือว่าการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก
“ผู้คนต้องตระหนักว่าการฉีดบูสเตอร์นั้นมีความสำคัญมาก และเราต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้ฉีดบูสเตอร์กันให้ได้มากที่สุด” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.abc.net.au/news/2022-06-24/reinfection-covid-more-severe-new-variants/101178246,https://www.livemint.com/news/india/covid-reinfection-risks-rising-need-to-take-precautions-10-points-from-survey-11656041551351.html