เราไม่จำเป็นที่จะแสวงหาการติดเชื้อเพื่อจะได้รับภูมิคุ้มกัน เพราะเราสามารถที่จะได้รับผลประโยชน์จากภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะคล้ายกันดังกล่าวนั้นจากการฉีดวัคซีนครบโดสและการวัคซีนบูสเตอร์ ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย อีกทั้งในประเด็นเรื่องภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโดยธรรมชาตินั้นก็มีโอกาสที่จะเสื่อมถอยลงได้เมื่อเวลาผ่านไป และก็ไม่มีการรับประกันเลยว่าการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ในอนาคตหลังจากนี้
จากสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีผู้เชี่ยวชาญไทยได้ออกมาคาดการณ์ว่าภายในปีหน้านั้นคนทั้งโลกจะติดเชื้อโอไมครอนกันหมด และทั้งโลกจะยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์โควิดอย่างสิ้นเชิงปล่อยให้เป็นโรคประจำถิ่น และปล่อยให้มีการเดินทางท่องเที่ยวทำมาค้าขายกันตามปกฺติอีกครั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้สำรวจรายงานจากในสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นจำนวนมากๆอันนำไปสู่ภูมิคุ้มกันหมู่ ก็พบข้อมูลจากนิตยสารไทม์ของสหรัฐอเมริกาว่า การทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นจำนวนมากหรือติดเชื้อกันทุกคนเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่นั้น ถือเป็นฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด และควรจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
โดยสำนักข่าวอิศราได้นำเอารายงานดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
พญ.เจสสิก้า คิส แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว จากรัฐแคลิฟอร์เนียได้เคยตอบคำถามมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของไวรัสโควิด-19 ผ่านทางช่องแอปพลิเคชันติ๊กต่อกของเธอ @AskDrMom แต่อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้มีคำถามที่น่าแปลกใจปรากฎขึ้นมาเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ในหัวข้อว่า ในเมื่อตัวเลขผู้ติดโควิด-19 ของสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้น “คุณควรเต็มใจรับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเลยหรือไม่” เพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้น
โดย พญ.คิสได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่าการตั้งใจที่จะติดไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลยทั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา และในตอนนี้
ทั้งนี้ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นเป็นไวรัสที่มีศักยภาพในการแพร่เชื้อได้สูงทั้งในกลุ่มผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนมาแล้วและผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งในวันที่ 3 ม.คที่ผ่านมา นั้นปรากฏเป็นข่าวไปแล้วว่าในสหรัฐฯมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคนถูกวินิจฉัยว่าติดไวรัสโควิด-19 ทำให้ทางผู้เชี่ยวชาญบางคนนั้นได้เริ่มจะมีข้อสรุปแล้วว่าเป็นเรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหลีกจากไวรัสไปได้ตลอดไป การติดเชื้อแบบก้าวหน้านั้นจะถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและติดเชื้อโควิดนั้นดูเหมือนว่าอาการจะไม่รุนแรงแต่อย่างใด
องค์การอนามัยโลกหรือ WHO คาดการณ์ว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์หลังจากนี้อาจจะมีความอันตรายมากกว่า และอาจจะพึ่งพาภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้ (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
แต่อย่างไรก็ตาม ทางด้านของ นพ.เลาลู ฟายานจู ผู้อํานวยการฝ่ายการแพทย์ประจําภูมิภาคของโอ๊คสตรีทเฮลธ์ในรัฐโอไฮโอกล่าวว่ากรณีการพยายามให้ติดเชื้อให้ได้ทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดสำหรับผู้ใดเลย มันป็นเหมือนกับการพนันที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลยนั้น มันเป็นกับเป็นการเล่นรัสเซียนรูเล็ต โดยใช้ปืนอัตโนมัติ
ขณะที่ทางด้านของ พญ.อากิโกะ อิวาซากิ นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่าแนวทางเรื่องการให้ทุกคนติดเชื้อนั้นถือว่ามีปัญหาอยู่ด้วยกันในหลายประการ อาทิ หนึ่ง ไม่มีทางจะคาดเดาได้ว่ากรณีของไวรัสโควิด-19 นั้นจะรุนแรงเพียงใด,สอง ทั้งวัคซีนและการฉีดบูสเตอร์นั้นก็สามารถให้การป้องกันที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และสาม การติดเชื้อทุกครั้งนั้นสามารถทำให้เกิดผลกระทบในรูปแบบโดมิโนที่รุนแรงจนถึงขั้นทำลายล้างต่อผู้อื่นได้
“เมื่อคำนวณความเสี่ยงต่อประโยชน์นั้นก็ชัดเจนมากว่า มีความเสี่ยงสูงกว่าประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง” พญ.อิวาซากิกล่าว
จนถึงขณะนี้นั้น ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ และผู้ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ป่วยหนักเท่ากับผู้ที่เจอกับคลื่นของการระบาดก่อนหน้านี้ ทำให้ดูเหมือนว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ทำให้เกิดความรุนแรงในปอดได้น้อยกว่ามาก
แต่แม้ว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเป็นสายพันธุ์ที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ไวรัสนี้ก็ยังคงสร้างหายนะสำหรับบางคนได้ ซึ่งข้อมูลจากวันที่ 3 ม.ค. แค่เพียงวันเดียวพบว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนกว่า 1,400 ราย เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 นี้ และผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกเป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนราย ซึ่งกลุ่มประชากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการแพทย์ นั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามก็ไม่มีการรับรองได้ 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับทุกคนเช่นกันว่าจะปลอดภัย
นอกจากนี้คุณยังไม่สามารถจะรู้ตัวได้เลยว่าได้ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือว่าติดไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังอยู่ในช่วงของการระบาดเช่นเดียวกันและมีอาการรุนแรงกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนกันแล้วแน่ เนื่องจากว่าการทดสอบหาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดในภาคครัวเรือนนั้นไม่สามารถจำแนกความแตกต่างเกี่ยวกับสายพันธุ์ได้
อีกประเด็นที่น่ากังวลก็คือภาวะการติดโควิดที่ยาวนาน อันส่งผลให้มีอาการอื่นตามมา อาทิ อาการเมื่อยล้า,ภาวะสมองล้า การหายใจลำบาก และอาการอื่นๆที่ปรากฏหลังจากการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดกรณีการติดโควิดเป็นระยะเวลาที่ยาวนานได้ และแม้ว่าการศึกษาจะพบว่าการฉีดวัคซีนนั้นสามารถลดภาวะความเสี่ยงของการติดโควิดเป็นระยะเวลายาวนานได้ก็จริง แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ว่าอาจจะมีการพัฒนาอาการบางอย่างขึ้นมา หลังจากเกิดการติดเชื้อแบบก้าวหน้าในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้ว
รายงานข่าวว่าเด็กมีสามารถมีภาวะโควิดอันยาวนานได้เช่นกันแม้ว่าจะน้อยกว่าผู้ติดโควิดที่เป็นผู้ใหญ่ (อ้างอิงวิดีโอจาก Verify)
“ผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขานั้นจะเป็นกลุ่มที่จะสามารถทนต่อการติดเชื้อในระยะยาวที่มีผลกระทบอันน้อยนิดได้หรือไม่ ดังนั้นนี่คือเหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่ไม่ควรรับความเสี่ยงนี้” นพ.ฟายานจูกล่าว
แต่ทั้งนี้ก็มีประเด็นที่ถูกพูดถึงตามมาว่า การหายป่วยจากไวรัสโควิด-19 นั้นน่าจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับซุปเปอร์ให้กับกลุ่มประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นจะให้ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติในระดับหนึ่ง และเมื่อผสมกับภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนก็จะทำให้มีการตอบสนองที่แข็งแกร่งขึ้น
โดยทางด้านของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯหรือว่าซีดีซีนั้นก็ได้ออกมายืนยันเช่นกันว่า “การฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้นั้นจะเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตามมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ก็มีการศึกษาอื่นๆที่ระบุว่ามีกลุ่มผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเข็มบูสเตอร์ นั้นพบว่ามีการพุ่งขึ้นของแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันเป็นจำนวนที่สูงยิ่งหลังจากการติดเชื้อแบบก้าวหน้าไปแล้ว และมีการศึกษาในกลุ่มเล็กๆที่ยังไม่ได้รับการทบทวนจากนักวิจัยรายอื่นๆ นั้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อผ่านการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมาแล้ว ก็จะได้รับภูมิคุ้มกันบางส่วนต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พญ.อิวาซากินั้นได้ออกมาคัดค้านต่อประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวว่า เราไม่จำเป็นที่จะแสวงหาการติดเชื้อเพื่อจะได้รับภูมิคุ้มกัน เพราะเราสามารถที่จะได้รับผลประโยชน์จากภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะคล้ายกันดังกล่าวนั้นจากการฉีดวัคซีนครบโดสและการวัคซีนบูสเตอร์ ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย อีกทั้งในประเด็นเรื่องภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโดยธรรมชาตินั้นก็มีโอกาสที่จะเสื่อมถอยลงได้เมื่อเวลาผ่านไป และก็ไม่มีการรับประกันเลยว่าการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ในอนาคตหลังจากนี้
“เรารู้ดีว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์นั้นทำให้เกิดแอนติบอดีที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง ทำไมถึงไม่สร้างภูมิคุ้มกันด้วยวิธีนี้” พญ.อิวาซากิกล่าว
และอีกเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ว่าทำไมไม่ควรติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นก็คือปัญหาในเรื่องของประชากรกลุ่มเปราะบางที่จะทำให้เกิดภาระต่อกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแต่ละรายนั้นสามารถติดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ รวมไปถึงผู้ที่มีความเปราะบางทางการแพทย์,ผู้ที่มีอายุน้อยเกินกว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนหรือผู้ที่ยังไม่ได้รับการปกป้องอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยถ้ามีใครเกิดป่วยขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้ที่ว่ากลุ่มคนที่ป่วยเหล่านั้นจะปกปิดว่าเขาได้ไปแพร่เชื้อให้กับใครมาแล้วบ้าง ซึ่งนี่ก็จะถือว่าเป็นภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์ที่รับภาระหนักอยู่แล้วอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน
เรียบเรียงจาก:https://time.com/6133419/should-i-try-to-get-omicron/