"...สำหรับข้อมูลด้านหลังโฉนดที่ดินบางแปลง ถูกระบุว่า เป็นของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ก่อนที่จะมีการโอนต่อให้กับนาย สืบพงษ์ ปราบใหญ่ และนางสาวสุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 จากนั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ และนางสาวสุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม ได้โอนต่อให้ กระทรวงการคลัง ..."
กำลังเป็นประเด็นร้อนในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแห่ง ณ เวลานี้
หลังปรากฏข่าวในสื่อมวลชนบางสำนักว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เครือข่ายพิทักษ์คุณธรรมมหาวิทยาลัยรามคำแห่ง ได้ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบกรณีปรากฎข้อมูลว่า ผศ.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยได้รับการโอนที่ดิน 2 แปลง ในพื้นที่จังหวัดนครนายก ต่อจาก นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ก่อนที่นายสุพจน์ จะถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ
ปัจจุบันที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าว ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว พร้อมกล่าวอ้างว่า พฤติการณ์ของ ผศ.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อาจจะเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติหรือไม่?
น่าสนใจว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลในแถลงการณ์ของ เครือข่ายพิทักษ์คุณธรรมมหาวิทยาลัยรามคำแห่ง ได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีนี้ พบว่า มีการระบุข้อมูลที่ดิน 2 แปลงไว้ คือ โฉนดเลขที่ 52022 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และที่ดินโฉนดเลขที่ 52023 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
จากการตรวจสอบฐานข้อมูลกรมที่ดิน พบว่า ที่ดินทั้ง 2 แปลง อยู่ในฐานข้อมูลกรมที่ดินจริง
- โฉนดที่ดินเลขที่ 52022 มีพื้นที่ 0 ไร่ 0 งาน 78.0 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 800 บาทต่อตารางวา (ดูข้อมูลประกอบ)
- โฉนดที่ดินเลขที่ 52023 มีพื้นที่ 0 ไร่ 1 งาน 53.0 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 800 บาทต่อตารางวา (ดูข้อมูลประกอบ)
สำหรับข้อมูลด้านหลังโฉนดที่ดินบางแปลง ถูกระบุว่า เป็นของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ก่อนที่จะมีการโอนต่อให้กับนาย สืบพงษ์ ปราบใหญ่ และนางสาวสุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554
จากนั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ และนางสาวสุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม ได้โอนต่อให้ กระทรวงการคลัง (ดูเอกสารประกอบ)
สำหรับ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม มีความสัมพันธ์เป็นลูกสาว นายสุพจน์ ส่วน นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ มีสถานะเป็นลูกเขย
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้โทรศัพท์ไปยัง สำนักงานที่ดินจังหวัดนครนายก สาขาองครักษ์ เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินทั้ง 2 แปลง ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่า ปัจจุบันที่ดินทั้ง 2 แปลง ได้โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง ตามกฎหมายพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2546 มาตรา 4 แล้ว
เมื่อถามว่า เป็นการโอนจากคดียึดทรัพย์ให้ให้ตกเป็นของแผ่นดินใช่หรือไม่
เจ้าหน้าที่ตอบว่า เป็นการโอนตามกฎหมายพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2546 มาตรา 4
(หมายเหตุ : ในมาตรา 4 เป็นการระบุคำนิยามความหมาย ในพ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งมีการระบุความหมายคำว่า "ร่ำรวยผิดปกติ" คือ การมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่ รวมทั้งกรณีมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติสืบเนื่องจากการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วย)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้า-บ่าย วันที่ 24 ธันวาคม 2564 ได้พยายามติดต่อไปยัง นาย สืบพงษ์ ปราบใหญ่ เพื่อขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้
เจ้าหน้าที่หน้าห้อง นาย สืบพงษ์ แจ้งว่า อธิการติดภารกิจประชุมอยู่
จึงทำให้ยังไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงกรณีที่ดินทั้งสองแปลงอีกด้านจาก นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ในขณะนี้
ทั้งนี้ เกี่ยวกับคดีซุกทรัพย์สินของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นั้น น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม และ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ เคยปรากฏข้อมูลอยู่ในคำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เกี่ยวกับเงินสดจำนวน 18,121,000 บาท ที่ถูกคนร้ายปล้นไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นคดีนี้ นายสุพจน์ต่อสู้ว่า เงินที่ถูกปล้นมีเพียง 5,068,000 บาท ซึ่งนายสุพจน์ได้ยกเงินจำนวนนี้ให้ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม และ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ลูกสาวและลูกเขย ไปก่อนวันที่นายสุพจน์มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. และยังอ้างว่า เงินที่ถูกปล้นเป็นเงินสินสอด 2 ล้านบาท และ อีก 2.5 ล้านเป็นเงินที่ นายทศพร ปราบใหญ่ บิดานายสืบพงษ์ ลูกชาย มอบให้ นายสืบพงษ์ เพื่อให้ไปดูแล น.ส. สุทธาวรรณ
ขณะที่ศาลฯ เห็นว่าเหตุผลของนายสุพจน์ ฟังไม่ขึ้น เมื่อนายสุพจน์เป็นเจ้าของแล้วไม่ยื่นแสดงต่อ ป.ป.ช.ก็ถือว่ามีเจตนาปกปิด
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ไม่เคยปรากฎชื่อว่า ถูกดำเนินคดีเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติด้วยแต่อย่างใด
ส่วนความคืบหน้าอื่น ๆ สำนักข่าวอิศรา จะติดตามนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป