"..เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขของประเทศอังกฤษได้ออกรายงานระบุว่าพบสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า AY.4.2 กำลังขยายวงไปทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้เฝ้าจับตาดูสายพันธุ์ย่อยที่ว่านี้มาตลอด จากการตรวจสอบพบกรณีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในจุดโปรตีนหนามอันได้แก่ A222V และ Y145H ซึ่งโปรตีนหนามที่ว่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ไวรัสโคโรน่าใช้เพื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์..."
สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลก ณ เวลานี้
แม้ว่าจะมีหลายประเทศเริ่มดำเนินการมาตราการผ่อนปรนต่อการป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งรวมถึงที่ประเทศไทยเตรียมจะเปิดประเทศให้ภาคการท่องเที่ยว 15 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร กลับมาดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยว นับตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้เป็นต้นไป หลังจากอัตราการฉีดวัคซีนกลุ่มประชากรมีปริมาณสูงจนน่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว
แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็มีข้อกังวลในระดับโลกเกิดขึ้น เมื่อประเทศอังกฤษได้ตรวจสอบพบการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า AY.4.2 อันมีที่มาจากการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า
ล่าสุด สำนักข่าวซีเอ็นบีซีของสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า AY.4.2 มีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้
จากกรณีที่มีการพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์มาจากไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งขณะนี้ทางการกำลังดำเนินการตรวจสอบด้วยความกังวลกันว่าไวรัสตัวนี้อาจจะมีความสามารถในการแพร่เชื้อที่สูงมากขึ้น และลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นอีกมากมายที่ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยอันเกี่ยวข้องกับไวรัสโควิดสายพันธุ์นี้ ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 หรือบางคนก็เรียกไวรัสชนิดนี้ว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าพลัสชนิดใหม่
โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐบาลอังกฤษได้มีการออกมาประกาศแล้วว่า ณ เวลานี้ ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าการกลายพันธุ์นั้นได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มากขึ้นต่อระบบสาธารณสุขสาธารณะสูงกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าหรือไม่ และก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้านั้นมีศักยภาพในการแพร่เชื้อได้ดีกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมดซึ่งรวมถึงสายพันธุ์อัลฟ่าด้วย
แต่ถึงกระนั้นหน่วยงานสาธารณสุขได้ยืนยันว่าจะมีการจับตาการกลายพันธุ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะว่าไวรัสโควิดกลายพันธุ์ ณ เวลานี้นั้นมีสัดส่วนในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ไปแล้วถึง 6 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อมูลที่ได้มาจากการถอดรหัสพันธุกรรมในช่วงเวลาที่การระบาดในประเทศอังกฤษพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
ต่อไปนี่ คือ สิ่งที่เรารู้และไม่รู้เกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ AY.4.2
@อะไรคือสายพันธุ์ใหม่?
ตามที่ทราบกันแล้วว่าไวรัสนั้นจะมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ที่ไวรัสโคโรน่าได้ปรากฎขึ้นในประเทศจีนเมื่อปลายปี 2562 ก็มีรายงานการเกิดใหม่ของไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยมากมาย ซึ่งการกลายพันธุ์ทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยหลาย ๆ ครั้งนั้น ทำให้ไวรัสมีทั้งศักยภาพในการติดเชื้อและการแพร่กระจายที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย นับตั้งแต่สายพันธุ์อัลฟ่าที่ถูกตรวจพบเจอครั้งแรกในประเทศอังกฤษและก็ระบาดไปทั่วโลกก่อนที่จะถูกแย่งส่วนแบ่งไปโดยไวรัสที่มีความสามารถในการแพร่เชื้อได้มากกว่าอย่างสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งถูกพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย
ขณะที่ไวรัสโควิดเดลต้า ที่ถูกขนานนามโดยองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ว่า เป็นสายพันธุ์ไวรัสอันน่ากังวลนับตั้งแต่เดือน พ.ค.นั้นก็ยังคงระบาดอยู่จนถึง ณ เวลานี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขของประเทศอังกฤษได้ออกรายงานระบุว่าพบสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า AY.4.2 กำลังขยายวงไปทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้เฝ้าจับตาดูสายพันธุ์ย่อยที่ว่านี้มาตลอด จากการตรวจสอบพบกรณีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในจุดโปรตีนหนามอันได้แก่ A222V และ Y145H ซึ่งโปรตีนหนามที่ว่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ไวรัสโคโรน่าใช้เพื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์
การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า (อ้างอิงวิดีโอจาก NYOOOZ TV)
@ทำไมต้องจับตาอย่างใกล้ชิด?
ไวรัส AY4.2 ดังกล่าวนี้ ถูกตรวจพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสนี้เพิ่มมากขึ้นในประเทศอังกฤษ จึงทำให้มีข้อสันนิษฐานกันว่าการกลายพันธุ์ของไวรัสนี้เองที่เป็นปัจจัยอันจะนำไปสู่วิกฤติทางด้านระบบสาธารณสุขในประเทศ จึงเป็นเหตุทำให้มีแพทย์บางคนเสนอให้มีการใช้มาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 กันอีกครั้งหนึ่ง
“ไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่ว่านี้นั้นกำลังเพิ่มความถี่ของการแพร่เชื้อ ในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 27 ก.ย. ไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้มีสัดส่วนการแพร่เชื้ออยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการถอดทุกรหัสพันธุกรรมของไวรัส และมีแนวโน้มว่าเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม การประมาณการนี้อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ซึ่งในกรณีนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประเมินเพิ่มเติมอีก” หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขระบุ
โดยขณะนี้ประเทศอังกฤษกำลังเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่ากังวลในการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งมีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มเติมอยู่ที่ประมาณ 40,000 ราย-50,000 รายต่อวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าทำไมประเทศอังกฤษนั้นจึงมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งกับไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ มีรายงานว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้านั้นสามารถที่จะถ่ายทอดเชื้อได้มากกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้ามาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ก็ยังเร็วเกินกว่าที่จะสรุปว่ามันคือสาเหตุสำคัญหรือไม่ที่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อของประเทศอังกฤษนั้นพุ่งสูงขึ้นหรือไม่
@ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ?
ประเด็นสำคัญที่ควรจะต้องระลึกก็คือว่าแม้ว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 นั้นถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ว่าไวรัสนี้ก็ยังไม่ได้เข้าประเภทว่าเป็น “ไวรัสสายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การสืบสวน” หรือว่า “ไวรัสสายพันธุ์อันน่ากังวล” โดย WHO
ซึ่งนั่นมีความหมายว่ายังไม่ได้รับการระบุว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่คาดว่าจะส่งผลต่อคุณลักษณะของไวรัสในด้านของการแพร่เชื้อ,ความร้ายแรงของโรค,การหลบหนีภูมิคุ้มกัน,การหลบหนีจากการวินิจฉัยหรือว่าการรักษาโรคนั่นเอง และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันด้วยว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นจะก่อให้เกิดการแพร่เชื้อในชุมชนหรือคลัสเตอร์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนหลายคลัสเตอร์
แต่ถึงกระนั้นสถานะที่ว่ามานี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เสนอหลังจากมีการตรวจสอบเพิ่มเติมแล้วและถ้าหากในอนาคตมีการลำดับพันธุกรรมแล้วและพบไวรัสโควิดสายพันธุ์นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งการแสวงหาแนวโน้มของการเกิดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะว่าจะสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้นนั้นยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่เพราะว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
โดยจากข้อมูลพบว่าพื้นที่ส่วนมากของโลกนั้นยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยมีแค่ 2.8 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนไปเพียงแค่ 1 โดส ในขณะที่ประเทศซึ่งพัฒนาแล้วก็พบการติดเชื้อแบบก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆในช่วงเวลาที่ภูมิคุ้มกันจากโควิดนั้นลดต่ำลงหลังจากที่ผ่านการฉีดวัคซีนแบบเต็มโดสไปแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน
ดังนั้น การมีสายพันธุ์ที่มีลักษณะของการแพร่เชื้อมากขึ้นก็อาจจะเป็นปัจจัยที่บ่อนทำลายประสิทธิภาพของวัคซีนมากขึ้นไปอีกก็เป็นไปได้ แม้ว่านี่จะยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกระบุว่าจะเกิดกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 ก็ตามที
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนยันว่าสถานการณ์ที่ประเทศอังกฤษนั้นยังดีเพราะอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง (อ้างอิงวิดีโอจาก Sky News)
@ผู้เชี่ยวชาญว่าอย่างไรบ้าง?
บุคลากรทางด้านสุขภาพ ณ เวลานี้ ยังคงไม่แสดงท่าที และยังคงนิ่งต่อกรณีที่ปรากฎไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยเดลต้า แต่ก็มีรายงานว่าพวกเขาคอยจับตาดูการกลายพันธุ์นี้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ตื่นตระหนก
โดย พ.ญ.โรเชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์ควยคุมโรคติดต่อหรือซีดีซีของสหรัฐอเมริกาได้ให้ความเห็นต่อไวรัสนี้ไว้ว่า ที่ผ่านมาก็พบกรณีการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 ที่ว่านี้ในสหรัฐฯเช่นกัน แต่ยังคงไม่ถึงขั้นความที่ที่เพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่แต่อย่างใด
ส่วนที่ประเทศอิสราเอลก็มีการยืนยันว่าพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 ในเด็กชายอายุ 11 ปีที่เข้าประเทศผ่านสนามบินนานาชาติเบนกูเรียน ตามมาด้วยที่ประเทศรัสเซียที่พบไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา จึงทำให้ ณ เวลานี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าขอบเขตการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ที่ถูกพบบนทวีปยุโรปนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ขณะที่โฆษกส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายนั้นอยู่ในความสงบ โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวสกายนิวส์ว่า “ไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4.2 เป็นสิ่งที่เรากำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ต้องขอเน้นย้ำว่าไม่มีหลักฐานอันชัดเจนว่าสายพันธุ์นี้สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดิม แต่เราก็จะไม่ลังเลเช่นกันที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานชัดเจนว่ารัฐบาลอังกฤษนั้นมีท่าทีที่ลังเลอย่างเห็นได้ชัดในการปรับมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ณ เวลานี้ แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขก็ตาม
ท่ามกลางความกังวลว่าใน ฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนั้น โรงพยาบาลอังกฤษจะต้องแบกรับภาระอันมหาศาลด้วยจำนวนผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่นายแอนดรูว์ พอลลาร์ด ศาสตราจารย์และหัวหน้าทีมวิจัยวัคซีนจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า-ออกซ์ฟอร์ด ได้กล่าวเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมากับสำนักข่าวบีบีซีว่า โดยเขาเชื่อว่าไวรัสโควิดเดลต้าสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงภาพรวมของโควิด-19 แต่อย่างใด
“แน่นอนว่าการค้นพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจับตามอง แต่มันก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะเป็นสิ่งที่จะมาแทนที่โควิดเดลต้าต่อไปแต่อย่างใด หรือถ้าหากว่าเปลี่ยนแปลงจริงก็อาจจะเปลี่ยนแปลงในประเด็นเรื่องของการแพร่เชื้อได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับภาพรวมของโควิดที่เราเจอวันนี้”นายพอลลาร์ดกล่าว
ส่วนนายแดนนี่ อัลท์แมนน์ ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่อิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ได้กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้ต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมด้วยความระมัดระวัง
“เพราะว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่ ณ เวลานี้กลายเป็นไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์หลักที่ระบาดในหลายภูมิภาคมาเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือนแล้ว และยังไม่ถูกทดแทนโดยไวรัสโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ จึงเกิดความหวังว่าไวรัสโควิดเดลต้าเป็นจุดสูงสุดของการระบาดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของไวรัสโควิดสายพันธุ์ AY.4 ที่ว่านี้ก็ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความหวังดังกล่าวเช่นกัน” นายอัลท์แมนน์ระบุ
เรียบเรียงจาก: https://www.cnbc.com/2021/10/21/the-delta-variant-has-a-mutation-what-we-know-so-far.html
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage