วัคซีน NVX-CoV2373 นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกในระยะ 3 และกำลังมีการประมวลประสิทธิภาพอยู่ใน 2 ประเทศด้วยกัน โดยการทดลองที่ประเทศอังกฤษพบว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 96.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 86.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์อัลฟ่า และมีประสิทธิภาพองค์รวมอยู่ที่ 89.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการทดลองในประเทศเม็กซิโกและในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ในการป้องกันอาการป่วยระดับปานกลางและระดับรุนแรง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันแบบองค์รวมอยู่ที่ 90.4 เปอร์เซ็นต์
จากกระแสข่าวประเด็นการระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ เวลานี้ ที่มีการปรากฏขึ้นของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่มีอัตราการติดเชื้อสูงแม้ในกลุ่มผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว และรายงานการเกิดขึ้นของสายพันธุ์มิวที่ประชาคมโลกต่างมีความวิตกว่าเป็นสายพันธุ์ที่อาจจะดื้อต่อวัคซีนได้มากกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เบต้า ดังนั้น ณ เวลานี้ประชาคมโลกจึงได้ฝากความหวังกันว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 รุ่นที่ 2 นั้น น่าจะมีความสามารถในการป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนั้นสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้มีการเสนอรายละเอียดของวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 รุ่นที่ 2 ที่คาดว่าน่าจะมีความหวังในการรับมือกับไวรัสโควิดกลายพันธุ์ต่างๆโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาดรุนแรงในหลายประเทศ มานำเสนอกัน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
@วัคซีนเชื้อตายวาลเนวา (Valneva) หรือ VLA2001
มีรายงานว่าทางบริษัทวาลเนวาของฝรั่งเศสได้มีการประกาศในช่วงเดือน ส.ค. นี้เองว่าทางบริษัทได้มีการส่งคำขออนุมัติสำหรับการใช้งานวัคซีนเชื้อตาย VLA2001 แล้วในประเทศอังกฤษ โดยขณะนี้ได้มีการทดลองวัคซีน VLA2001 ในประเทศอังกฤษเป็นระยะที่ 3 แล้ว โดยคาดว่าน่าจะสามารถแสดงผลการทดลองได้ในช่วงต้นของไตรมาสที่ 4 ของปี 2564
ทั้งนี้ทางบริษัทวาเนลวา อ้างว่าวัคซีนของบริษัทนั้นถือว่าเป็นวัคซีนประเภทเชื้อตายที่ดีที่สุดเท่าที่ได้ทดสอบมา โดยวัคซีนนี้นั้นจะสามารถเก็บได้ที่ความเย็นมาตรฐานซึ่งอยู่ที่ระหว่าง 2-8 องศาเซลเซียส
สำหรับกระบวนการผลิตวัคซีน VLA2001 นั้น ณ เวลานี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายการการผลิตในระดับอุตสาหกรรมแล้ว โดยนับตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีการดำเนินการผลิตทางการค้า เพื่อจะทำให้บริษัทสามารถส่งมอบวัคซีนได้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด
รายงานข่าวการทดลองวัคซีนเชื้อตายวาลเนวา (อ้างอิงวิดีโอจาก France 24)
@วัคซีนโปรตีนซับยูนิตแอกสตัน ไบโอไซน์ (Akston Biosciences) AKS-452
บริษัทแอกสตันไบไอซน์ของสหรัฐอเมริกาได้มีการดำเนินการทดลองวัคซีนโปรตีนซับยูนิต AKS-452 ไปแล้ว โดย ณ เวลานี้กำลังอยู่นะระยะการทดลองที่ 1/2 หรือการทดลองระยะที่ 1 ผสมระยะที่ 2 นั่นเอง
ซึ่งการทดลองในระยะที่ 1 แสดงให้เห็นว่าวัคซีน AKS-452 นั้นมีความปลอดภัยและมีความทนทานเป็นเยี่ยม โดยร่างกายของผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนนั้นสามารถผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ได้เมื่อรับการฉีดวัคซีนโดสเดียวที่มีปริมาณวัคซีน 90 ไมโครกรัม เช่นเดียวกับวัคซีนจำนวน 45 ไมโครกรัมจำนวน 2 โดส
สำหรับวัคซีน AKS-452 นั้นสามารถเก็บได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และสามารถเก็บได้เป็นระยะเวลา 1 เดือน ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้วัคซีนตัวนี้เป็นความหวังสำหรับการแจกจ่ายไปยังประเทศที่มีข้อจำกัดด้วยระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
โดยคาดว่าผลการทดลองในระยะที่ 2 ของวัคซีนชนิดนี้นั้นน่าจะปรากฏออกมาภายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564
@วัคซีนเคียวแว็กและจีเอสเค (CureVac and GSK) CV2CoV
บริษัทเคียวแว็กของประเทศเยอรมนีและบริษัทกลาโซสมิทธไคลน์ของประเทศอังกฤษได้มีการผลิตวัคซีนประเภทเอ็มอาร์เอ็นเอเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งมีรายงานว่าในขั้นตอนก่อนการทดลองทางคลินิกที่ตีพิมพ์ในช่วงเดือนนี้แสดงผลการทดลองให้เห็นว่าวัคซีนนั้นสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในกลุ่มอาสาสมัครผู้ทดลองวัคซีนได้ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้งานวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอเป็นรุ่นแรกก่อนหน้านี้
โดยวัคซีน CV2CoV เป็นวัคซีนที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมโมเลกุลในส่วนที่ไม่มีการแปลรหัสเพื่อที่จะให้สามารถรับเอารหัส เอ็มอาร์เอ็นเอมีศักยภาพมากขึ้นในการแสดงผลของโปรตีนซึ่งมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอแบบรุ่นแรกที่ใช้งานทั่วโลก ณ เวลานี้
ซึ่งการทดลองในสัตว์นั้นพพบข้อมูลว่าวัคซีน CV2CoV สามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของแอนติบอดีได้เป็นวงกว้างและทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับผู้ที่เพิ่งติดเชื้อไวรัสโควิด-19
และระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าวนั้นพบว่ามีศักยภาพในการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิม เช่นเดียวกับสายพันธุ์เบต้า สายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์แลมด้า
โดยคาดว่าผลการทดลองวัคซีนในระยะที่ 1 นั้น นั้นจะมีการเผยแพร่ในช่วงต้นของไตรมาส 4 ปี 2564 หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าวัคซีนเคียวแว็กนั้นมีอัตราประสิทธิภาพอยู่แค่ 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกลับไวรัสโควิดที่มีการกลายพันธุ์ถึง 15 สายพันธุ์ ซึ่งการทดลองดังกล่าวนั้นมาจากกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 40,000 ราย และมีการตรวจพบเชื้อกลายพันธุ์ถึง 86% ในกลุ่มทดลอง โดยทางบริษัทเคียวแว็กก็ได้โต้แย้งไปว่าการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครดังกล่าว ถ้าเปรียบเทียมกับเมื่อปีก่อน ทั้งวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่เป็นวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอรุ่นแรกนั้น ไม่ได้เจอกับการระบาดเป็นวงกว้างของเชื้อกลายพันธุ์ในช่วงที่ทำการทดสอบ
รายงานข่าวการทดลองวัคซีนเคียวแว็ก (อ้างอิงวิดีโอจาก DW)
@วัคซีนอาร์คทูรัส เทอราพูติค (Arcturus Therapeutics) ARCT-021 และ ARCT-154
บริษัทอาร์คทูรัส จากเมืองซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยมีประวัติพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้ออันหายากในตับและในระบบทางเดินหายใจได้มีการพัฒนาวัคซีนประเภทเอ็มอาร์เอ็นเอจำนวน 2 ชนิดด้วยกันได้แก้วัคซีน ARCT-021 เป็นตัวแรกเพื่อใช้สำหรับรักษาไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม และพัฒนาวัคซีน ARCT-154 คู่ขนานกันไปเพื่อจะใช้รับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่างๆที่มีการกลายพันธุ์รวมไปถึงสายพันธุ์เดลต้า
โดยวัคซีนรุ่น ARCT-021 ณ เวลานี้กำลังอยู่ในระยะการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 ซึ่งมีการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ โดยคาดกันว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564
ขณะเดียวกันที่ประเทศเวียดนาม บริษัทวินไบโอแคร์ (Vinbiocare) ที่เป็นคู่ค้ากับบริษัทอาร์คทูรัสก็มีการประกาศเมื่อเดือน ส.ค.ว่ากระทรวงสาธารณสุขเวียดนามได้มีการอนุมัติการทดลองวัคซีน ARCT-154 เพื่อจะทดลองความสามารถของวัคซีนกับการรับมือไวรัสโควิดที่เป็นสายพันธ์ก้าวหน้า โดยการทดลองดังกล่าวนั้นจะเป็นการทดลองทางคลีนิกใน 3 ระยะ คือระยะที่ 1,2 และ 3 ไปพร้อมๆกัน
โดยบริษัทวินไบโอแคร์ที่เป็นบริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนามที่ชื่อว่าวินกรุ๊ปจะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการทดลองนี้
ทั้งนี้ในการทดลองวัคซีนเบื้องต้นก่อนการทดลองทางคลินิกนั้นแสดงข้อมูลให้เห็นว่าวัคซีน ARCT-154 มีศักยภาพในการกระตุ้นแอนติบอดี้เพื่อรับมือกับไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆได้ โดยรับมือกับสายพันธุ์อัลฟ่าได้ดีที่สุด ตามมาด้วยสายพันธุ์เดลต้า,สายพันธุ์แกมม่าและสายพันธุ์เบต้า
และถ้าหากการทดลองทางคลินิกประสบความสำเร็จในกระบวนการประเมินผลเฉพาะกาล ก็คาดว่าจะมีการอนุมัติการใช้งานฉุกเฉินในประเทศเวียดนามได้ก่อนสิ้นปีนี้
การทดลองวัคซีนอาร์คทูรัสในประเทศสิงคโปร์ (อ้างอิงวิดีโอจาก Channel News Asia)
@วัคซีนโนวาแวกซ์ (Novavax) NVX-CoV2373
วัคซีนจากบริษัทโนวาแวกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่า NVX-CoV2373 นั้นเป็นวัคซีนประเภทโปรตีนซับยูนิตที่ถูกพัฒนาจากการลำดับพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แรก โดยการสร้างวัคซีนของบริษัทนี้จะมีการใช้เทคโนโลยีอานุภาคนาโนของบริษัททำการสร้างแอนติเจนที่ได้จากโปรตีนหนามของไวรัสโคโรน่า และควบรวมกับสารซาโปนินที่ชื่อว่า Matrix-M เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นระดับแอนติบอดีในร่างกาย
โดยวัคซีน NVX-CoV2373 นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกในระยะ 3 และกำลังมีการประมวลประสิทธิภาพอยู่ใน 2 ประเทศด้วยกัน โดยการทดลองที่ประเทศอังกฤษพบว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 96.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 86.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์อัลฟ่า และมีประสิทธิภาพองค์รวมอยู่ที่ 89.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการทดลองในประเทศเม็กซิโกและในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ในการป้องกันอาการป่วยระดับปานกลางและระดับรุนแรง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันแบบองค์รวมอยู่ที่ 90.4 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ก่อนหน้านี้นั้นมีรายงานว่ามีการทดลองวัคซีนในระยะ 2 นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2563 ซึ่งที่ประเทศแอฟริกาใต้ พบข้อมูลว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 55 เปอร์เซ็นต์เมื่อฉีดให้กับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือว่าเฮชไอวี และมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 48.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ ที่มีศักยภาพในการหลบภูมิคุ้มกันสูง
ทั้งนี้ทางบริษัทโนวาแวกซ์กำลังดำเนินการขอใบอนุญาตเพื่อใช้งานฉุกเฉินจากหน่วยงานด้านการยาของยุโรปหรือว่า EMA ซึ่งดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 และขณะนี้บริษัทกำลังมีความร่วมมือกับสถาบันเซรุ่มของอินเดียและหน่วยงานอื่นๆเพื่อที่จะใช้งานวัคซีนฉุกเฉินทั้งในประเทศอินเดีย,อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
สำหรับการเก็บรักษาวัคซีน NVX-CoV2373 สามารถเก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับห่วงโซ่อุปทานวัคซีน จึงทำให้สะดวกที่จะใช้งานในหลายๆประเทศที่อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของการจัดหาตู้เย็นเพื่อที่จะใช้ในการจัดเก็บวัคซีนโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับวัคซีนของบริษัทแอกสตัน ไบโอไซน์
รายงานข่าวการรออนุมัติวัคซีนโนวาแวกซ์ (อ้างอิงวิดีโอจาก WDEF News 12)
@วัคซีนซาโนฟี่ จีเอสเค และทรานสเลตไบโอ (Sanofi, GSK and Translate Bio)
บริษัทซาโนฟี่ของฝรั่งเศสและบริษัทกลาโซสมิทธไคลน์ของประเทศฝรั่งเศสนั้นยังได้มีการพัฒนาวัคซีนร่วมกัน โดยวัคซีนนี้ได้เข้าสู่การทดลองทางคลีนิกระยะที่ 3 ไปแล้วเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมามีการทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนไปแล้วทั้งกับสายพันธุ์ดั้งเดิมและกับสายพันธ์เบต้า ซึ่งถ้าหากผลการทดลองในระยะที่ 3 นั้นออกมาเป็นบวก ก็คาดกันว่าหลังจากขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลตามกฎระเบียบต่างๆผ่านพ้นไป วัคซีนนี้น่าจะได้รับการอนุมัติใช้งานฉุกเฉินได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2564
และมีรายงานว่าบริษัทซาโนฟี่ยังได้พัฒนาวัคซีนแบบเอ็มอาร์เอ็นเออีกชนิดกับบริษัททรานสเลตไบโอของสหรัฐอเมริกาและคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 จะมีผลการทดลองของวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอที่ว่านี้ออกมา
@วัคซีนสแกนเซล (Scancell) SCOV1 และ SCOV2
บริษัทสแกนเซลของประเทศอังกฤษนั้นกำลังประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันของผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนทั้ง 2 ของบริษัทที่ชื่อว่า SCOV1 และ SCOV2 ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 ประเภทนั้นเป็นวัคซีนประเภทที่ไม่ใช้เข็มฉีดยาแต่จะใช้การฉีดผ่านเครื่อง PharmaJet Tropis เพื่อให้น้ำยาเข้าไปในผิวหนัง ด้วยความเร็วสูง ซึ่งเครื่องนี้ ถูกระบุว่า สามารถฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น เนื่องจากขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์ที่น้อยกว่า รวมถึงไม่สร้างความเจ็บปวดเหมือนกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อเหมือนในวิธีทั่วไป
ตัวอย่างการฉีดวัคซีนแบบ PharmaJet Tropis (อ้างอิงรูปภาพจาก https://biotuesdays.com/2019/02/26/2019-2-26-pharmajet-injection-devices-creating-needle-free-world/)
อนึ่งระบบการฉีดวัคซีนแบบ Pharmajet นั้นเป็นระบบการฉีดที่ยังอยู่ในขั้นทดลองใช้กับวัคซีนหลายประเภทที่เป็นวัคซีนประเภทดีเอ็นเอซึ่งวัคซีนของบริษัทสแกนเซลก็เป็นวัคซีนประเภทดีเอ็นเอเช่นกัน
ทั้งนี้ผลการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 1 ของวัคซีนนี้ในประเทศแอฟริกาใต้จะมีการเผยแพร่ออกมาในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 และเมื่อมีการทบทวนข้อมูลความปลอดภัยแล้ว ก็คาดว่าทางการอังกฤษจะอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนชนิดนี้เป็นบูสเตอร์โดสหรือโดสที่ 3 ให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนเป็นจำนวน 2 โดสแล้ว
ซึ่งจากการประเมินประสิทธิภาพที่เป็นกลางของแอนติบอดีก็พบว่าสามารถที่จะต้านไวรัสโควิด-19 ได้ และขณะนี้ทางบริษัทสแกนเซลยังได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบสนองของเซลล์ทีของวัคซีนทั้ง 2 ชนิดว่าจะมีเท่าไรเมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิด-19 ที่มีการกลายพันธุ์ในอนาคต
เรียบเรียงจาก: https://www.biopharma-reporter.com/Article/2021/08/30/What-the-next-wave-of-COVID-19-vaccines-could-look-like-August-2021
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage