เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดงานสัมมนา THE WISDOM Investment Forum ในหัวข้อ AI Ultimatum: The Secret Key to Unlock Your Wealth วิเคราะห์ความน่าสนใจของเทคโนโลยี AI ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดย ดร.พิพัฒนพงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า AI จะเป็นเมกะเทรนด์เปลี่ยนโลกและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในมิติต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายที่โลกต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภาวะสงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สังคมผู้สูงอายุ และภาวะโลกร้อน
“Generative AI” พลังขับเคลื่อนสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG กล่าวว่า AI ไม่ใช่เพียงแค่เมกะเทรนด์ แต่เป็น “คำชี้ขาด” เพราะ AI จะเข้าไปอยู่ในทุกที่ทุกอุตสาหกรรม และเป็นเหมือน “อากาศ” ที่มนุษย์เราขาดไม่ได้ โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของโลกเพียงไม่กี่บริษัทสามารถสร้างความมั่งคั่งสูงถึงระดับล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ในช่วงโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ซึ่งเป็นอาหารชั้นดีที่ทำให้ AI เรียนรู้อย่างรวดเร็วและฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ต้นทุนในการเก็บข้อมูลลดลง 1 ล้านเท่า แต่ความเร็วในการคำนวณเร็วขึ้น 1 ล้านล้านเท่า
ทั้งนี้ มองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนจาก Mobile First ไปเป็น “AI First” โดย AI จะเข้าไปเปลี่ยนและสร้างผลกระทบกับทุกอุตสาหกรรม วิวัฒนาการที่เป็นคลื่นลูกใหม่ล่าสุดของ AI ที่เรียกว่า “Generative AI” ที่มีจุดแข็งด้านความคิดสร้างสรรค์ จะทำให้มนุษย์เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น มนุษย์ที่เรียนรู้และใช้ประโยชน์จาก AI จะกลายเป็น “Super Human” เพราะทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้นเป็นเท่าๆ ตัว เรียกได้ว่าทุกธุรกิจจะสร้างความมั่งคั่งได้ โดยใช้คนจำนวนน้อยมาก เพียงใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมการทำงาน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้ง ส่วนธุรกิจที่จะลงทุนกับ Generative AI จะสร้างรายได้ที่มั่งคั่งกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 และที่สำคัญ AI จะเป็น New S-Curve ให้กับประเทศที่ใช้ประโยชน์และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการนำ Machine Learning, AI และ Data มาใช้ร่วมกันในที่สุด
จับตาแรงกระเพื่อมของ “AI” ต่อธุรกิจในอนาคต
นายทัชพล ไกรสิงขร Group Chief Technology Officer บริษัท Amity Solutions กล่าวว่า แม้เทคโนโลยี AI จะกำเนิดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ช่วงปี 1950 แต่รอบนี้คนในแวดวงเทค มั่นใจว่า AI จะมีอิทธิพลและอยู่ร่วมกับมนุษย์ไปอีกยาว โดยเฉพาะ Generative AI ถึงจะเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่งมาไม่กี่ปี แต่มีความสามารถที่ทำได้หลายอย่าง จุดเปลี่ยนสำคัญคือเทคโนโลยี AI รอบนี้อ่านและเข้าใจข้อมูล พร้อมพูดภาษาเดียวกันกับมนุษย์ โดยเขามองว่า 4 อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดหากไม่ปรับตัวคือ สถาบันการเงิน ประกัน บริการด้านไอที และการศึกษา แต่หากปรับตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็อาจเปลี่ยนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้เลยทีเดียว
ด้านนายวสุพล ธารกกาญจน์ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Microsoft Azure บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อว่า AI จะเป็นเมกะเทรนด์ที่อยู่ยืนยง เมื่อผู้ใช้งานเข้าถึงและมีประสบการณ์การใช้งานที่ดี เนื่องจาก AI ช่วยให้มนุษย์ทำงานน้อยลง และได้ผลลัพธ์มากขึ้นจริง องค์กรหรือบริษัทที่เปิดรับ วางแผน หรือมีแนวโน้มที่จะนำ AI เข้ามาใช้งาน ธุรกิจนั้นย่อมมีโอกาสที่จะไปต่อและสร้างความสามารถทางการแข่งขันได้ ควบคู่กันไปคนในแวดวงเทคก็พยายามสร้างเฟรมเวิร์ก “Responsible AI” ขึ้นมาเพื่อควบคุมดูแลความถูกต้อง ความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี AI เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ
นายสรุจ ทิพเสนา กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท เอส เทลลิเจนซ์ จำกัด เสริมว่าปัจจุบันเราอยู่ในจุดพีคของเทคโนโลยี AI แต่ยังไม่ถึงจุดพีคของผลลัพธ์ เวลานี้การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอาจจะยาก ด้วยสังคมสูงวัยไม่เอื้ออำนวย แต่ในยุคของ AI Revolution มีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะหัวใจสำคัญคือการใช้ AI ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต (Productivity) หลายเท่าตัว ต้องเข้าใจข้อจำกัดและความเสี่ยงด้วย โดยนำ AI ผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อสร้างความปลอดภัยในการรักษาฐานข้อมูล
โอกาสการลงทุนหุ้นกลุ่มเทคฯ รับเมกะเทรนด์ AI
นางสาวมทินา วัชรวราทร หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นอเมริกาให้ผลตอบแทนเหนือตลาดอื่นๆ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พอเทคโนโลยี AI เกิดขึ้น ยิ่งทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาแข็งแกร่งต่อไป เพราะเป็นประเทศเจ้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านการลงทุนนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Magnificent Seven หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” ที่ทรงอิทธิพลในตลาดหุ้นสหรัฐ ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia เป็นที่จับตามอง เพราะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพียง 7 ตัว มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าโอกาสการลงทุนจะจำกัดอยู่เพียงหุ้นเจ็ดตัวนี้ เพราะเชื่อว่าประโยชน์จากเอไอจะส่งผลไปยังบริษัทอื่นๆ เช่น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และกลุ่มอื่นๆ เช่น Healthcare ทั้งนี้ ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยกดดันตลาดหุ้นพอสมควร แต่ GDP ไตรมาส 3/2023 ของสหรัฐอเมริกาก็ออกมาสูงถึง 4.9% ด้วยพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และมีการลดหนี้ หลังเกิดวิกฤตซัพไพรม์ในปี 2008 มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นในปี 2024 โดยมองว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวมากกว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือบริษัทเทคเหล่านี้อาจผ่านการชะลอตัวทางธุรกิจมาแล้วในปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ปลดคน ลดการจ้างงานเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย จึงเชื่อมั่นว่าด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งบริษัทเทคยังคงมีโอกาสเติบโต อยู่รอด และไปต่อได้
สำหรับโอกาสในการลงทุน ควรมี AI อยู่ในพอร์ตโฟลิโอแต่ในสัดส่วนประมาณ 5-10% เช่น กอง K-GTECH กองทุนเปิดเค โกลบอล เทคโนโลยี หุ้นทุน โดย K-GTECH เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก และหุ้นเติบโตสูง ซึ่งกระจายการลงทุนไปยังหุ้นระดับโลกอย่าง Apple, Alphabet, Microsoft และ Lam Research เพื่อรับเทรนด์การเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก โดยให้น้ำหนักการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดของนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นสำคัญ สุดท้ายแล้ว ในภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนแบบนี้ แนะนำแบ่งการลงทุนเป็น Core Portfolio ประมาณ 80% ของพอร์ต เน้นลงทุนในกองทุน หรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี สม่ำเสมอ โดยเน้นลงทุนระยะยาว และ Rebalance ทุกไตรมาส อีก 20% ของพอร์ตแบ่งเป็น Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้น สามารถใช้กลยุทธ์ Trading ได้ เพื่อสร้างโอกาสในหาผลตอบแทนเพิ่มเติม