ลีสซิ่งกสิกรไทยเปิด K EV SHOP ครั้งแรกของศูนย์รวมข้อเสนอพิเศษสุดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำให้แก่ลูกค้า K PLUS สอดรับนโยบาย ESG กลยุทธ์สำคัญของธนาคารกสิกรไทย
ลีสซิ่งกสิกรไทย ในฐานะผู้นำตลาดสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า ตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคปัจจุบันของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานสะอาด เปิด “K EV SHOP” ครั้งแรกที่รวมข้อเสนอพิเศษสุดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำและลีสซิ่งกสิกรไทย ด้วยแคมเปญอัตราดอกเบี้ยพิเศษพร้อมรับบัตรของขวัญมูลค่า 2,000 บาท มอบแก่กลุ่มลูกค้า K PLUS สอดรับนโยบายมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้าน ESG ของธนาคารกสิกรไทย
นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า “จากที่ปีนี้เป็นปีแห่งการเติบโตรุดหน้าของตลาดรถยนต์ BEV ในประเทศไทย และในฐานะที่ลีสซิ่งกสิกรไทยเป็นผู้นำด้านสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเป็นพันธมิตรผู้ให้บริการสินเชื่ออย่างเป็นทางการกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ลีสซิ่งกสิกรไทยจึงต่อยอดและสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเปิดตัว K EV SHOP เพื่อเพิ่มช่องทางการขายของรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์พันธมิตรของลีสซิ่งกสิกรไทย ให้เข้าถึงฐานลูกค้า K PLUS กว่า 21.4 ล้านราย เพื่อนำเสนอแคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ฐานลูกค้าธนาคารกสิกรไทย โดยใช้ Data Analytics วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าใหม่และนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Customized Target) สำหรับในช่วงแรกนี้ มีพันธมิตรแบรนด์รถยนต์ตอบรับเข้าร่วมโครงการหลากหลายแบรนด์และร่วมมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า อาทิ Audi, MG, Neta, AION, Porsche และ BYD สำหรับลูกค้าสมัครสินเชื่อรถไฟฟ้าใหม่กับแบรนด์ที่ร่วมรายการกับลีสซิ่งกสิกรไทยผ่านช่องทาง K EV SHOP จะได้รับบัตรของขวัญเซ็นทรัลมูลค่า 2,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566 โดยลูกค้าสามารถเลือกแบรนด์รถยนต์ที่โดนใจและคลิกสมัครสินเชื่อรถได้ที่ www.kasikornbank.com/th/personal/autoloan/pages/k-ev-shop.aspx ”
สำหรับมุมมองแนวโน้มของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ตลอดทั้งปี 66 รถยนต์ BEV มีโอกาสทำยอดขายได้สูงถึง 68,000 คัน เพิ่มขึ้น 405% (YoY) หลัง 8 เดือนแรกมียอดขาย41,844 คัน ผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ BEV ในตลาดรถยนต์รวมไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 8.6% จาก 1% ในปี 2565 โดยภาพรวมการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสอดคล้องกับการขยายตัวของยอดสินเชื่อรถไฟฟ้าใหม่ของลีสซิ่งกสิกรไทย นายธีรชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจนถึงสิ้นปีนี้ อาจมียอดขายมากกว่า 75,000 คัน และสำหรับผลประกอบการของลีสซิ่งกสิกรไทย ในช่วง 9 เดือนของปี 66 บริษัทสามารถขยายฐานสินเชื่อหรือยอดคงค้างสินเชื่อ (Outstanding Loan) เพิ่มขึ้น 13% สำหรับสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรถใหม่ แบ่งเป็นรถสันดาป 72.5% และในส่วนของสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 27.5% โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของสินเชื่อรถไฟฟ้าแบรนด์พันธมิตรหลักกว่า 21% และมียอดธุรกิจเติบโตถึง 400% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งสูงกว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของตลาดที่เติบโตประมาณ 340% รวมถึงมีสัดส่วนของยอดธุรกิจสินเชื่อรถใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV New Business) ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับและลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าธนาคารกสิกรไทยที่มีคุณภาพหนี้ที่ดี"
สำหรับปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองเพิ่มเติมว่า การทยอยเข้ามาเพิ่มเติมของรถยนต์ BEV ค่ายใหม่ๆ ในตลาด ทั้งจากจีน เกาหลี และการลุยตลาด BEV ของค่ายญี่ปุ่นบางราย ส่งผลให้ตลาดยิ่งจะมีความคึกคักขึ้น รถยนต์ BEV จึงน่าจะมีโอกาสทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นไปถึง 85,000-100,00 คัน หรือขยายตัวระหว่าง 25%-47% โดยคาดการณ์ว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ รถยนต์นั่ง BEV ที่มีระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ได้รับการตอบรับดีด้านยอดขายต่อเนื่องมากกว่ารถยนต์นั่งกลุ่มอื่น โดยคาดการณ์ว่ารถยนต์นั่งไฟฟ้าจะมีส่วนแบ่งของยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 17% ของรถยนต์นั่งทั้งหมดในปี 2566 และขยับเป็น 21% ในปี 2567 ภายใต้มุมมองที่ระมัดระวังจากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นผนวกกับการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวัง และประเด็นความต่อเนื่องด้านนโยบายของภาครัฐ
นายธีรชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มแคมเปญสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า K EV SHOP เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อรถได้ตามไลฟ์สไตล์และจะเชื่อมต่อให้ลูกค้าสามารถสมัครสินเชื่อได้ด้วยตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Digital Self-Apply ที่ได้เปิดให้บริการไปก่อนหน้า พร้อมยังได้สิทธิพิเศษที่มากมาย ถือเป็นการนำร่องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการสินเชื่อให้กับลูกค้าในยุคดิจิทัล ทั้งนี้ลีสซิ่งกสิกรไทยได้เตรียมการพัฒนาการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มของผู้ผลิตรถยนต์ที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเริ่มต้นของโครงการตั้งเป้าหมายว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการขายรถยนต์ไฟฟ้าของพันธมิตร ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งการตลาดการให้สินเชื่อรถไฟฟ้าของบริษัทเพิ่มขึ้นได้อีก 3-5% รวมเป็น 25% และตั้งเป้าจะมีสัดส่วนลูกค้าที่สมัครขอสินเชื่อรถยนต์จากช่องทางออนไลน์เป็น 10% ภายใน 3 ปี โดยลีสซิ่งกสิกรไทยยังคงเดินหน้านำเสนอโครงการที่สอดรับนโยบายเพื่อความยั่งยืนหรือ ESG ของธนาคารกสิกรไทย เพื่อสนับสนุนการสร้างสังคมสีเขียวให้เกิดขึ้นจริง ด้วยการออกแคมเปญเชิงรุกผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตรของบริษัท โดยใช้แพลตฟอร์มต่างๆของธนาคาร และ K PLUS เป็นศูนย์กลางเพื่อเพิ่มประสบการณ์การขอสินเชื่อรถยนต์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย