CPF เตรียมพร้อมรับมือผลกระทบ 'เอลนีโญ' บริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตลอดกระบวนการผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และคำนึงถึงความรับผิดชอบ นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อช่วยลดปริมาณการดึงน้ำจากธรรมชาติ เดินหน้าเตรียมแผนรับมือสถานการณ์ขาดแคลนน้ำจากผลกระทบเอลนีโญ ชูหลัก 3Rs ลดการดึงน้ำมาใช้(Reduce)นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)และนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse)เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในฟาร์มและโรงงานให้ดียิ่งขึ้น
นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯส่งเสริมให้ทุกธุรกิจมีความตระหนักและรับผิดชอบต่อการนำทรัพยากรน้ำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด ปฏิบัติตามมาตรการจัดการทรัพยากรน้ำ สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)ในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยนำหลัก 3Rsมาใช้ ทั้งลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เตรียมแผนรับมือผลกระทบจากสภาวะเอลนีโญต่อประเทศไทย ที่อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดลง มีโอกาสเกิดภัยแล้งในบางพื้นที่ และมีความเสี่ยงต่อพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการน้ำสูง
สถานประกอบการของซีพีเอฟทั่วประเทศ ทั้งธุรกิจสุกร ไก่เนื้อ เป็ดเนื้อ และไก่ไข่ ได้สำรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำจากผลกระทบเอลนีโญ รวมทั้งจัดทำแผนและนำมาตรการต่างๆมาใช้ อาทิ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในฟาร์มและโรงงานให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้หลัก 3Rs มาตรการลดการใช้น้ำในการเตรียมโรงเรือน ปรับเวลาการราดน้ำของชุดทำอุณหภูมิโรงเรือนระบบอีแว็ป (Evaporator)ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ปรับอัตราการไหลของน้ำที่ใช้ให้เหมาะสม ทำทางน้ำเพื่อรวบรวมน้ำธรรมชาติให้ไปอยู่ที่บ่อผิวดินเพื่อกักเก็บน้ำ มาตรการขุดและสร้างบ่อผิวดินเพิ่มเติม เจาะแหล่งน้ำบาดาล รณรงค์ลดการใช้น้ำที่สิ้นเปลืองด้วยการเพิ่มความถี่ในการสำรวจจุดรั่วไหล ใช้น้ำจากระบบบำบัดรดน้ำต้นไม้ในช่วงฤดูแล้ง ฯลฯ
รวมไปถึงการสำรองน้ำ(Reserve)โดยนำโมเดลธนาคารน้ำใต้ดินมาปรับใช้ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ได้จัดทำโครงการธนาคารน้ำใต้ดินที่หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำและทดแทนการซื้อน้ำจากภายนอกได้กว่า 50,000 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นผลประหยัด 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเกษตรกร อาทิ ผู้เลี้ยงสุกร ปลูกพืช ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวในการซื้อน้ำช่วงแล้ง
ซีพีเอฟ มุ่งมั่นลดการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง และได้กำหนดให้การบริหารจัดการน้ำ เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของเป้าหมายความยั่งยืนของบริษัท ซึ่งผลการดำเนินงานในปี 2565 กิจการประเทศไทยของซีพีเอฟ สามารถลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตลงได้ถึง 53 % เมื่อเทียบกับปี 2558 ขณะเดียวกัน กิจการในไทยและต่างประเทศ มีปริมาณน้ำที่นำกลับมาใช้ซ้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ คิดเป็น 24 % (กิจการประเทศไทยและต่างประเทศ) ของปริมาณการดึงน้ำมาใช้ทั้งหมด พร้อมกันนี้ ซีพีเอฟยังได้สนับสนุนคู่ค้าธุรกิจมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามที่กำหนดในนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟและบริษัทคู่ค้าธุรกิจเองด้วย