KBank Private Banking ชี้ 2 จุดเปลี่ยนสำคัญกระทบทรัพย์สินครอบครัว 'การแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ – ราคาประเมินที่ดิน' แนะเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงเพื่อเก็บรักษาและส่งต่ออย่างยั่งยืน
KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ผู้นำบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวเจ้าแรกในไทย จัดงานสัมมนา Family Wealth Planning Outlook 2023 ในหัวข้อ “รับมือการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและภาษีที่ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินของครอบครัว” ชี้ 2 จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศ และภาษีที่ดินในปี 2566 ส่งผลให้การบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พร้อมแนะนำให้เจ้าของทรัพย์สินตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย รวมถึงความเสี่ยงด้านภาระภาษีที่มากยิ่งขึ้นในอนาคต
นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นโยบายการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่าง สรรพากรไทยและรัฐบาลชาติอื่นๆ ภายใต้ความตกลง Common Reporting Standard หรือ CRS กำลังจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยในเดือนกันยายน กรมสรรพากรไทยจะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานในต่างประเทศ และจะส่งข้อมูลภายในเดือนมิถุนายนของทุกๆ ปีต่อจากนี้เป็นต้นไป ในทางกลับกัน สรรพากรในต่างประเทศก็มีหน้าที่รวบรวมข้อมูล และนำส่งข้อมูลกลับมาให้กรมสรรพากรไทยเช่นกัน โดยในปัจจุบันจะเป็นระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการร้องขอ (Automatic Exchange) และเป็นการแลกเปลี่ยนเป็นประจำทุกปี ส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูงเกิดความตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวมากขึ้น
มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ หรือ CRS ตามพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ.2566 ได้กำหนดเงื่อนไขของการรายงานไว้ ดังนี้
ผู้มีหน้าที่รายงาน ได้แก่ 1. สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 2. บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น 4. ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต 5. ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 6. ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา 7. ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามประกาศของคณะปฏิวัติฯ 8. ทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
บัญชีที่จะถูกรายงาน ได้แก่ 1. บัญชีรับฝากเงิน 2. บัญชีรับฝากสินทรัพย์ 3. บัญชีเพื่อการลงทุน 4. กรมธรรม์ประกันชีวิต
ข้อมูลที่จะถูกรายงาน ได้แก่ 1. ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี 2. วัน เดือน ปีเกิด และสถานที่เกิด(กรณีบุคคลธรรมดา) 3. เลขที่บัญชี 4. ยอดเงินในบัญชีหรือมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ ดอกเบี้ยที่ได้รับหรือผลประโยชน์อื่น / จำนวนคงเหลือหรือมูลค่าของบัญชี ณ วันสุดท้ายของปีปฏิทิน
“KBank Private Banking มองว่าการบังคับใช้ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี ไม่ว่าจะเป็น การแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างสรรพากรไทยและรัฐบาลสหรัฐฯ (FATCA) รวมถึงรัฐบาลชาติอื่นๆ (CRS) จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในต่างประเทศ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษีในองค์รวม ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคลสำหรับบ้านที่มีธุรกิจในต่างประเทศหรือมีการจัดโครงสร้างการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศ (Trust) รวมถึงภาษีมรดกที่เป็นมรดกที่อยู่ในต่างประเทศด้วย สำหรับในอนาคต KBank Private Banking คาดว่าการเรียกเก็บข้อมูลทางภาษีจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากมีการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น การทำธุรกรรมเงินสดจะลดน้อยลง นอกจากนี้ การเก็บภาษีในอนาคตจะใช้ระบบ AI มาพัฒนาการเก็บภาษี ทำให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น KBank Private Banking มองว่าลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูงต้องตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวและต้องการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษีมากยิ่งขึ้นในอนาคต” นายพีระพัฒน์ กล่าว
ด้าน นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief - Non Capital Market Solution Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แม้ปีนี้จะเข้าสู่ปีที่ 4 ที่ภาครัฐมีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ผู้ครอบครองที่ดินยังสับสนเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ปี โดยในปี 2566 สิ่งที่กระทบต่อการคำนวณภาษีก็คือการเปลี่ยนราคาประเมินที่ดินโดยกรมธนารักษ์ระหว่างปี 2566 – 2569 ซึ่ง 50% ของพื้นที่ที่ราคาประเมินไม่เปลี่ยนแปลง แต่มี 39% ของพื้นที่ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น และ 11% ของพื้นที่ที่ราคาประเมินปรับลดลง โดย ราคาประเมินที่ดินที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมากคือที่ดินในบริเวณที่ราคาประเมินกับราคาตลาดมีความแตกต่างกันมาก
“KBank Private Banking มองว่า ภาษีที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากฐานภาษีและอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การลดหย่อนจากการนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ลดลง ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า KBank Private Banking แนะนำให้เจ้าของที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดิน 1) เชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ 2) ใช้ประโยชน์เชิงเกษตรเพื่อลดอัตราภาษี 3) ใช้ประโยชน์สาธารณะโดยการร่วมกับภาครัฐเพื่อยกเว้นภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ KBank Private Banking ยังนำเสนอบริการให้คำปรึกษาและบริหารจัดการในการแปลงทรัพย์สินที่ดินมาเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุนโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน (Land Loan for Investment) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทน โดยการลงทุนที่ KBank Private Banking แนะนำมีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายและเพียงพอในการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่ผู้ถือครองที่ดินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวให้เท่าทันกับตลาด ซึ่งไม่ต่างกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีทั้งผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงที่ต้องระวัง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างการเติบโตให้กับสินทรัพย์ที่มี และไม่ติดกับดักการลงทุน” นางกรกช กล่าวตอนท้าย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v