ผบ.ตร.นำทีมแถลงผลการสืบสวนคดีการจับกุมเครือข่ายยาไอซ์ 1.5 ตัน ยืนยันไม่พบตำรวจเกี่ยวข้อง พร้อมเผยว่าไม่หยุดการสอบสวน หากมีหลักฐานเพิ่มเติมจะดำเนินคดีทุกคน
....................................................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2564 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำทีมแถลงผลการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 หลังจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์และมีเอกสารราชการบางส่วนหลุดออกไปเผยแพร่ทางสื่อ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เอกสารเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวน หากเทียบจำนวนที่หลุดออกไปแล้ว ถือว่าเป็นจำนวนน้อย กลายเป็นว่าข้อเท็จจริงบางส่วนที่หลุดออกไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นทั้งหมด จึงเกิดการตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราต้องทำความจริงให้ปรากฎ เพราะหากประชาชนไม่เชื่อกระบวนการสืบสวนสอบสวน ความเสียหายจะตามมา และจะไม่มีใครยึดกฎกติกา โดยวันนี้จะเล่าในส่วนที่ไม่กระทบต่อรูปคดี เนื่องจากคดีมีทั้งตัดสินไปแล้ว และยังอยู่ในชั้นกระบวนการยุติธรรม
พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 กล่าวอธิบายเส้นทางเครือข่ายยาเสพติดนี้ว่า เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2557-2563 โดยปี 2557 ตำรวจจับกุมนายฐปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา หรือหนูเฉิน พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงินทั้งสิ้น 56 หมาย ระหว่างการดำเนินคดี นายฐปนันท์ หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 18 ต.ค. 2562 ที่ด่านห้วยยะอุ จับกุมรถบรรทุก พร้อมไอซ์ 1.5 ตัน วันดังกล่าวจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย คือ นายสมโชค เนียมสกุล อายุ 38 ปี เป็นคนขับ และนายสกล การุณรักษ์ อายุ 34 ปี นั่งคู่มาข้างคนขับ โดยทั้งคู่ให้การซัดทอดไปถึงผู้เกี่ยวข้องในขบวนการอีก 8 ราย โดยตำรวจได้ออกหมายจับไว้และตามจับกุมได้ 6 ราย มีผู้หลบหนี 2 ราย คือ นายเกิดชนะ มีนา และนายยงค์ วงศ์สว่างกุล
วันที่ 22 ก.ค.2563 บช.ปส. และ ป.ป.ส. ขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุกที่ใช้ขนถ่ายยาไอซ์ 1.5 ตัน แต่แยกดำเนินคดีอีกสำนวน
กระทั่ง 23 ต.ค.2563 ตำรวจสามารถตามจับกุมนายเกิดชนะ ได้ดำเนินการสอบปากคำ และส่งตัวให้อัยการ จุดนี้นายเกิดชนะ ให้การพาดพิงถึงพลเรือน 4 ราย และข้าราชการ 4 ราย ทีมสืบสวนจึงนำข้อมูลทั้งหมดประกอบสำนวน นอกจากนี้ยังพบข้อเท็จจริงบางอย่าง จนขยายผลดำเนินคดีน.ส.หลิน-ชาล์ คนจัดการเงิน และนายฐปนันท์ ต่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์เมื่อปี 2557 จึงแยกดำเนินคดีอีกสำนวน ในข้อหาสมคบ (ม.8 วรรคแรก) และจับกุมน.ส.หลิน-ชาล์ ได้เมื่อ 24 ก.พ. 2563 พร้อมอายัดเงินสดได้กว่า 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในส่วนอื่นๆ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขยายผลต่อไป
พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวอีกว่า สำหรับการจับกุมนายสมโชค และนายสกล พร้อมพวกอีก 6 ราย ในคดีไอซ์ 1.5 ตัน ศาลตัดสินเมื่อ 24 ก.ย.2563 ผลตัดสินมีทั้งจำคุกตลอดชีวิต , จำคุก 33 ปี และยกฟ้อง 3 ราย ส่วนกรณีการจับกุมเจ้าของอู่ต่อรถ สำนวนอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล และกรณีการจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ พนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ได้ส่งสำนวนให้อัยการเมื่อ 4 ก.พ.2564
ด้าน พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผบ.ตร. กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการยาเสพติดและทีมงาน หลังได้รับสั่งการจาก ผบ.ตร. ก็ลงไปดูภาพรวมคดี ตั้งแต่การจับกุมเมื่อปลายปี 2562 พบว่าการดำเนินการของตำรวจภูธรภาค 6 ได้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ ส่วนที่นายเกิดชนะ ให้การซัดทอด ถ้ามีความเชื่อมโยงหรือการสืบสวนไปถึงใคร ตนเองจะดำเนินการตาม พ.ร.บ.สมคบ ตามที่ภูธรภาค6 ชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่เหลือยังไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้อื่นแต่อย่างใด
ขณะที่ พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. กล่าวว่า ตนเองได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.มนู ให้สืบค้นความเชื่อมโยงของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี ทั้งพลเรือน และข้าราชการ ที่ถูกระบุในสำนวนการสอบสวน พบบางส่วนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง โดยตนได้รายงานให้ พล.ต.อ.มนู ทราบทั้งหมดแล้ว
ด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า กรณีการสืบสวนเครือข่ายนายฐปนันท์ ทางสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมสืบสวนขยายผลกับตำรวจ รายละเอียดมีบันทึกไว้ในเอกสาร ทั้งนี้นายฐปนันท์ เป็นเป้าหมายการสืบสวนของ ป.ป.ส. มาตั้งแต่ปี 2552 โดยมีพฤติการณ์ครอบครองยาบ้า 2.6 หมื่นเม็ด และอาวุธปืน นายฐปนันท์สู้คดียาเสพติดหลุด แต่โดนจำคุก 1 ปี เมื่อเข้าไปในเรือนจำได้ไปสร้างเครือข่ายพ่อค้ายาเสพติดรายสำคัญหลายคน หลังพ้นคุกมาปี 2553 จึงโลดแล่นอยู่ในวงการ ซึ่งทาง ป.ป.ส. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ขยายผลจากภูธรภาค 6 และคงไม่ยอมละเว้นใครคนใดคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลพยานหลักฐานที่สามารถฟ้องเอาผิดได้
สำหรับการตรวจสอบบุคคลที่ถูกพาดพิง มีข้าราชการเกี่ยวข้องหรือไม่ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวว่า คนแรกที่มีการพูดถึงเป็นพลเรือน ชื่อนายยง หรือหวัง วงศ์สว่างกุล ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีไอซ์ 1.5 ตัน ได้หลบหนีไปยังติดตามจับกุมตัวไม่ได้ คนที่สองเป็นข้าราชการชื่อ พ.อ.ยศพล สิทธิกรรณ ถูกออกหมายจับในคดีสมคบฯ ที่นิคมเขาบัวแก้ว จ.นครสวรรค์
หลังจากเป็นข่าว มีการไล่ล่าตัวจนสามารถจับกุมตัวได้หลังจากสอบปากคำนายเกิดชนะ ลำดับต่อมาในคำให้การถึง น.ส.เฟื่องฟ้า เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในหมู่บ้านแต่ไม่มีหลักฐานสิ่งบ่งชี้ที่เพียงพอจะออกหมายจับได้ ตำรวจรู้เพียงว่า น.ส.เฟื่องฟ้าถูกกล่าวอ้างถึงแต่ยังไม่มีหลักฐาน ส่วนตำรวจทั้ง 3 คนที่ถูกกล่าวถึงในฐานข้อมูลมีการตรวจสอบเยอะมาก ในชั้นนี้ยังไม่พบหลักฐานที่พนักงานสอบสวนจะสามารถนำไปสู่การขออนุมัติในคดีสมคบต่อเลขาธิการ ป.ป.ส.ได้ จึงเป็นเพียงข้อมูลในการสืบสวนได้เท่านั้นเอง
ส่วนการไม่มีหลักฐานขอออกหมายจับตำรวจที่ถูกซัดทอด พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวอีกว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีแค่คำกล่าวอ้างแบบอย่างนั้น ในส่วนที่ตนเองดำเนินคดีได้ คือคดีของหลิน-ชาล์กับนายฐปนันท์ ซึ่งไม่ได้ออกหมายจับในคดี 1.5 ตัน แต่ตนเองนำหลักฐานจากสิ่งที่มีแล้วมาเปิดเป็นคดีใหม่ เป็นยาเสพติดคนละล็อต ฉะนั้นแล้วรายละเอียดในคดีอยู่ในชั้นของอัยการ ชี้แจงได้เพียงว่ากรณีของหลิน-ชาล์ กับนายฐปนันท์ ที่ขยายมาจากคำให้การของนายเกิดชนะ เป็นคดียาเสพติดที่ไม่ใช่ 1.5 ตัน แต่เป็นคดียาเสพติดที่มีหลักฐานอื่นบ่งชี้เลยว่าเกี่ยวข้องกัน
ทั้งนี้ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากยังไม่มีหลักฐาน การเรียกตำรวจที่ถูกพาดพิงไปสอบปากคำ ตนเองว่าไม่มีความจำเป็น ถามถึงหลิน-ชาล์ ที่เป็นตัวเชื่อมให้นายฐปนันท์ ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อจ่ายค่าดำเนินการต่างๆ มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสราวุธ กล่าวว่า หลักฐานในส่วนนี้ยังไม่มี พยายามหาแล้วแต่ไม่พบเลย ทั้งนี้ได้สอบปากคำหลิน-ชาล์เพิ่มเติม ซึ่งให้การรับในส่วนที่ฟอกเงินเท่านั้น จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดพบว่าหลิน-ชาล์มีสิ่งบ่งชี้ว่าทำธุรกิจจริงๆ เฉพาะปี 2563 แค่ 500 ล้านบาท แต่จริงแล้วมีเงินวิ่งออกไปที่พม่ากว่า 2,000 ล้านบาท ฉะนั้นตัวเลขที่เขย่งกันอยู่อีกพันกว่าล้านมันคืออะไร ซึ่งหลิน-ชาล์จะต้องให้รายละเอียดและข้อมูล ทั้งนี้บัญชีการเงินไม่พบว่ามีการโยงไปถึงเจ้าหน้าที่รายใด โดยได้ตรวจสอบบัญชีของหลิน-ชาล์ บัญชีบริษัทซีเปีย บัญชีบริษัทซันเดย์ ซึ่งหลิน-ชาล์เป็นผู้ดำเนินการอยู่ ตั้งแต่ปี 2562-2563 ไม่พบว่าไปแตะถึงบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างถึงแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นที่ถูกซัดทอดว่าไปพบกันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีไปพบกันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ เป็นเพียงคำซัดทอดชี้แจงของผู้ต้องหาว่าไปอยู่ที่นั้นไปเจอไปตกลงไปพูดคุย ซึ่งมีเหตุที่เกิดขึ้นประมาณปลายปี 2562 ตำรวจพยายามหาพยานหลักฐานแล้ว แต่ไม่พบจริงๆ มีสิ่งบ่งชี้เท่านี้จริงๆ อย่างไรก็ตามการสืบสวนยังไม่จบ ยังต้องทำต่อ ไม่ใช่เฉพาะประเด็นที่ถูกกล่าวอ้าง นอกเหนือที่ถูกกล่าวอ้างยังต้องทำอยู่เช่นกัน
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เอกสารที่หลุดไปคือชิ้นเดียว คิดว่าท่านมีในมือกันอยู่แล้ว ที่กล่าวถึง พล.ต.ท.เขาเขียนว่าอย่างไร เขาถามว่ารูปที่พนักงานสอบสวนให้ดูท่านเคยเห็นไหม เขาก็บอกว่าไปเห็นมาที่เมียวดี แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามาทำอะไร มาหาใคร เจอใคร อะไรอย่างไร ไม่มีเลยมีแค่นี้ สมมติว่าเราจับใครมา แล้วเขาบอกว่าคนนี้มาไถเงิน แล้วไม่ให้ เราจะจับตำรวจมาสอบไหม จะต้องดูอย่างนี้ด้วย ดังนั้นแล้วเราต้องชั่งน้ำหนักว่าวันเวลาที่พูดเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้มีระบุ เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำไปตามข้อเท็จจริงที่พูดถึง ทางตำรวจภูธรภาค 6 และหน่วยงานที่เกี่ยงข้องก็ได้ดำเนินการต่อ เพราะยังมีงานที่ยังไม่เสร็จ ถ้ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติมดำเนินคดีได้เราก็ทำไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น
"สำหรับเส้นทางการเงินกว่า 2,000 ล้านบาท ต้องมาไล่ดูว่าไปถึงใครอีก เบื้องต้นยังไม่เจอชนกับใคร โดยเฉพาะคนที่ถูกพาดพิง อย่างไรก็ตามตำรวจไม่มีการปิดอะไรทั้งสิ้น ขอสื่ออย่าหยิบอะไรที่ไม่ชัดเจนยกไปทำลายความน่าเชื่อถือก่อน" พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า เราตั้งใจ เราก็จะทำให้ ถ้าใครมีข้อมูลที่ดีๆ ข้อมูลที่จะไปถึงใคร ยินดีรับหมด อยากให้ใช้วิจารณญาณฟังเรื่องนี้ ทุกเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ เพราะโลกสมัยนี้การสื่อสารไปเร็ว ข้อเท็จจริงบางส่วนหลุดออกมาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่กลับไปที่พูดตั้งแต่แรกเปรียบเทียบเอกสารที่หลุดออกมาไม่กี่แผ่นกับที่เขามีเป็นร้อยเป็นพัน ท่านเห็นหมดหรือไม่ มันไม่ใช่หน่วยงานเดียวด้วย ในคดีข้อหาสมคบตำรวจต้องขออนุมัติเลขา ป.ป.ส. ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราทำเองได้ ยังมีชั้นอัยการ ชั้นศาลอีก และมีสื่อเป็นคนตรวจสอบพวกเรา ยืนยันไม่มีใครช่วยใครได้ ถ้าใครที่เกี่ยวเราไม่เคยละเว้น
ทั้งนี้ ป.ป.ส.สืบสวนกันตั้งแต่ปี 2552 ตำรวจภูธรภาค 6 มาเริ่มทำหลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไป และเริ่มจับกุมที่ด่านเมื่อปี 2562 ก็ไล่มา ทุกคนทำหน้าที่ การสืบสวนทำหลายหน่วยมาก ขอย้ำว่าทำหลายหน่วย แล้วการสอบสวนก็เป็นคณะทำงาน ก็ต้องดูด้วยว่าเราจะทำอะไรก็ต้องว่าไปตามน้ำหนักพยานหลักฐาน การฟังคนๆ เดียวพูด แล้วพูดครั้งเดียวว่าเคยเห็นคนนี้แล้วไง เห็นแล้วเขาไปทำอะไรไปรับเงินใครไปคุยกับใครที่ไหนเมื่อไร ตัวเองไปร่วมกระทำผิดขนยา 3 ครั้งจำได้หมด จำวันเวลาสถานที่ได้ แต่เรื่องนี้ทำไมจำไม่ได้ก็ต้องดูด้วยก็เป็นสิทธิของเขาที่จะให้การ เราก็พยายามย้ำให้เกิดความชัดเจน เพราะถ้ายิ่งเบลอ ข้อมูลยิ่งไม่ชัดเจน ก็จะยิ่งเบลอ คนที่เสียหายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาจะถูกหยิบไปเป็นประเด็นบ่อนทำลาย ตนพูดย้ำเรื่องนี้ บ่อนทำลายความเชื่อถือ ความไม่แน่ใจไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ถามตำรวจภาค 6 จะทำไปเพื่ออะไร เขาจับมาตั้งแต่ปี 2562 ฝากประชาชนถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ไม่มั่นใจตำรวจ กลัวตำรวจช่วยกัน ขอให้แจ้ง ป.ป.ส. , ปปง. , อัยการ หรือนำมาออกกสื่ออีกก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ตนว่ามีช่องทางเยอะที่จะทำความจริงให้ปรากฏ เราก็ตั้งใจ ถ้ามีอะไรเรายินดีรับหมด
เมื่อถามต่อว่าตำรวจ 2 คนที่ถูกพาดพิงถึงเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้อย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ต้องไปดูว่าบรรยากาศในการพูดคุยวันนั้นเป็นอย่างไร คนทำบ่อนตรงนั้น พูดแบบชาวบ้าน ก็คงต้องรู้จักกัน แล้วรู้จักกันแบบไหน เห็นให้เงินให้ทองกันอะไรอย่างไร ก็มีเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 อีกคนหนึ่ง พร้อมเบอร์โทรศัพท์เป็นคนเดินเคลียร์ตำรวจ ทางภาค 6 ก็ดำเนินการไปแล้วเรื่องพวกนี้ ซึ่งต้องดูวันนั้นว่าอารมณ์ไปอย่างไรถึงมาถึงตรงนี้ได้ เมื่อพาดพิงถึงด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องตรวจสอบไม่ใช่จะไม่ทำ เมื่อเขาพูดมาขนาดนี้ก็ต้องตรวจสอบ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาแล้วก็มีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบ
เมื่อถามอีกว่ามองอย่างไรที่มีเอกสารหลุดออกมาใครจะได้ประโยชน์ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ท่านต้องตัดสินเอง แต่ตนมองผลกระทบที่เกิดความเสียหาย มันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ ย้ำอีกครั้งอะไรที่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ผิด รู้ถูก มันจะเสียหาย หน้าที่เราคือทำให้มันชัดเจน เพราะเรื่องนี้จะถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดเวลา เอาเรื่องนี้ไปพูดได้อีก 500 ปี ถ้ายังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นต้องทำให้ชัดเจนให้ได้ อะไรที่ยังทำไม่เสร็จต้องไปทำ ประเด็นไหนที่มีข้อสงสัยต้องเคลียร์ วันนี้เห็นว่ามีความคืบหน้าพอสมควรจึงมาเล่าให้ฟัง ยังไม่จบ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เอกสารที่หลุดออกมาถูกมองในมิติว่าอาจมีความขัดแย้งภายในองค์กรณ์หรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง แต่มองว่าเราอยู่บนพื้นที่ที่ทำงานร่วมกัน แต่ใครหยิบไปใช้ประโยชน์แบบไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่คิดว่ามีความขัดแย้ง เพราะถึงวันนี้ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวนก็ยังคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตลอด เพื่อทำให้เรื่องนี้มีความชัดเจน เพราะทุกคนอยากรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เราพยายามทำให้มันชัดเจน เรื่องงานสืบสวนก็เรียนไปแล้ว ทาง พล.ต.อ.สุชาติ เป็นเพื่อนตน ไม่ใช่เฉพาะงานนี้งานเดียวก็คุยกัน มีอะไรก็มาเล่าให้ฟัง และได้บอกด้วยว่าได้สั่งการภาค 6 ไปว่าอย่างไร แล้วหลังจากนั้นไปทำอะไรได้มาเพิ่มก็จะมาเล่าให้ฟัง การสืบสวนทำมาตลอด ในขณะที่ท่านทำอยู่พนักงานสอบสวนก็ทำของเขาด้วย แต่พอมีเอกสารหลุดไป มีการสอบถามถึงประเด็นของนายเกิดชนะ ว่าภาค 6 ได้ทำหรือไม่ ซึ่งภาค 6 ก็ตอบไปแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง ทีมงานทุกทีมไม่เคยหยุด ทำกันมาตลอด ส่วนกรณีเอกสารหลุดได้ให้จเรตำรวจลงไปตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งมีการดำเนินการไปแล้ว ส่วนคลื่นใต้น้ำคืออะไรตนไม่ทราบ คงไม่มี
เมื่อถามอีกว่าหลังจากที่มีประเด็นแล้ว ผบ.ตร.ได้เชิญ พล.ต.ท.ที่ถูกพูดถึงกับ พล.ต.อ.สุชาติ มาพูดคุยหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า "ผมก็เห็น 2 คน ท่านคุยกันดี ไม่เห็นมีอะไร เจอกันก็เห็นคุยกันดี"
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage