สภานิติบัญญัติแห่งชาติของอิสราเอลประกาศยุบตัวเองเพื่อเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในวันที่ 2 มี.ค. ปีหน้า ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลายังไม่ถึง 1 ปี ยิ่งบ่งชี้การขาดเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานโดยอ้างอิงข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศว่าที่กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติของอิสราเอลหรือ "คเนสเซ็ท" มีมติเมื่อช่วงรุ่งสางของวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ให้มีการยุบสภาเพื่อเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดครั้งใหม่ โดยตามรัฐธรรมนูญระบุว่าต้องเกิดขึ้นภายใน 3 เดือนหลังการยุบสภา ซึ่งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเห็นชอบกำหนดการในวันที่ 2 มี.ค. 2563
ทั้งนี้ หากประธานาธิบดีรูเวน ริฟลิน ลงนามรับรองบทบัญญัติการยุบสภาและการจัดการเลือกตั้งแห่งชาติครั้งใหม่ หมายความว่าชาวอิสราเอลจะต้องใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลายังไม่ครบ 1 ปีเต็ม ซึ่งการเลือกตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่าพรรคลิคุดที่เป็นพรรคฝ่ายขวาของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ และเนทันยาฮูตัดสินใจยุบสภาจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อกลางเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งในคราวนี้พันธมิตรน้ำเงิน-ขาว ซึ่งเป็นแนวร่วมพรรคสายกลางของพล.ท. เบนนี กันต์ซ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของอิสราเอล ได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าพรรคลิคุดเพียงที่นั่งเดียว แต่ทั้งสองพรรคไม่สามารถจับขั้วการเมืองกับพรรคใดในการตั้งรัฐบาลได้ ยิ่งไปกว่านั้นสองพรรคใหญ่ยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องการจัดตั้ง "รัฐบาลผสมแห่งชาติ"
ขณะที่ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ไม่พอใจที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ โดยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสถานีโทรทัศน์ช่อง 13 ซึ่งเป็นช่องใหญ่ของอิสราเอล ปรากฏว่า 41% โทษเนทันยาฮูซึ่งกำลังเผชิญกับคดีคอร์รัปชั่นด้วย ว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤติการเมืองครั้งนี้ มีเพียง 5% มองว่าเป็นความผิดของพล.ท. กันต์ซ ด้านรายงานของสมาคมผู้ประกอบการผลิตแห่งอิสราเอลระบุว่า การเลือกตั้งมกาถึง 3 ครั้งภายในระยะเวลายังไม่ถึง 1 ปี สร้างความสูญเสียให้กับเศรษฐกิจของอิสราเอลมากถึง 12,000 ล้านเชเขล ( ราว 102,709.8 ล้านบาท )