อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเตือน หากสหรัฐกับจีนแก้ปัญหาสงครามการค้าไม่ได้ อาจกลายเป็นสงครามจริง
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่านายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ผู้เป็นตัวช่วยปรับสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งให้เข้าสู่ระดับปกติ กล่าวในงานบลูมเบิร์ก นิวอีโคโนมี ฟอรัม ในกรุงปักกิ่ง ถึงอนาคตของสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก
“ถ้าปล่อยให้ความขัดแย้งบานปลายฉุดไม่อยู่ ผลที่ได้อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจากวิกฤติเล็กๆ ถึงวันนี้อาวุธทรงพลังกว่าเดิมมาก”
จีนและสหรัฐเกิดข้อพิพาททางการค้ามา 18 เดือนแล้ว ทั้งสองฝ่ายพยายามบรรลุข้อตกลงกันให้ได้หลังจากเจรจามาแล้วหลายรอบ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและคนใกล้ชิดทำเนียบขาวเผยว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีนเฟส 1 น่าจะเสร็จปีหน้า เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งกดดันขอให้ยกเลิกภาษีมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ไม่ยอม
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังแถลงว่า ข้อตกลงการค้าเบื้องต้นใช้เวลามากที่สุด 5 สัปดาห์ก็จะได้ลงนามกัน แต่ 5 สัปดาห์ผ่านไปแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แวว ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและแหล่งข่าววงในเผยกับรอยเตอร์ในสัปดาห์นี้ว่า การเจรจาอาจจะซับซ้อนยิ่งขึ้น
แหล่งข่าวคนหนึ่งเผยว่า ทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) รู้ดีว่า ดีลที่สหรัฐไม่เก็บภาษี แต่จีนไม่ยอมแก้ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายโอนเทคโนโลยีให้ ย่อมไม่ใช่ดีลที่ดีสำหรับสหรัฐ
ด้านทางการจีนเผยว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะลงนามข้อตกลงกันต้นเดือน ธ.ค. ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะให้จับตาดูวันที่ 15 ธ.ค. ที่สหรัฐจะเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ไฟและของตกแต่งคริสต์มาส
“ถ้าการเจรจาไปได้สวย สหรัฐก็ระงับเก็บภาษี แต่ถ้าไม่สหรัฐก็เอาจริง แล้วเกมก็ถูกลากไปถึงปีหน้า” นักวิเคราะห์กล่าว