รองโฆษกอัยการฯแจงสั่งไม่ฟ้อง"อนันต์ อัศวโภคิน"เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เหตุข้อเท็จจริงไม่พบความเชื่อมโยงสมคบ"ศุภชัย"ฟอกเงินสหกรณ์ฯคลองจั่น รอลุ้นดีเอสไอทำความเห็นแย้งหรือไม่ ยัน"วงศ์สกุล"อสส.ไม่ใช่ผู้สั่งไม่ฟ้อง หาก"อธิบดีดีเอสไอ"เห็นแย้ง ตามกฎหมายมีอำนาจชี้ขาดคดี
เว็บไซต์ แนวหน้าออนไลน์ รายงานว่าเมื่อเวลา 16.00 น.เศษ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่สำนักงานอัยการคดีอาญา 3 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยกรณีที่สำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตผู้บริหารบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯ อสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ร่วมกันกับ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์ฯ คลองจั่น ฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ว่า
โดยคดีดังกล่าวทางสำนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้รับสำนวนจากดีเอสไอ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.62 ซึ่งคณะทำงานสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 พิจารณาสำนวนแล้ว มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ เสนอไปยัง นายธนวรรษ ว่องไวทวีวงศ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ (ขณะนั้น) รักษาการอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษว่า ซึ่งนายธนวรรษได้มีความเห็นพ้องกันคณะทำงานฯ ที่เสนอความเห็นมาคือ สั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ โดยสำนวนได้ถูกส่งกลับไปยังอธิบดีดีเอสไอ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับขั้นตอนต่อไป อธิบดีดีเอสไอก็จะมีการพิจารณาอีกครั้ง ถ้าอธิบดีดีเอสไอเห็นพ้องกับทางอัยการคือสั่งไม่ฟ้องคดีก็จะยุติ แต่ถ้ามีความเห็นแย้งยืนยันควรฟ้องคดี ตามกฎหมายสำนวนก็จะถูกส่งไปที่ นายวงศ์กุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อเป็นผู้ชี้ขาดคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
นายประยุทธ กล่าวต่อถึงเหตุผลที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จากที่ได้รับรายงานจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เท่าที่เปิดเผยได้โดยไม่กระทบสำนวนที่ยังไม่เสร็จสิ้น ว่า คดีนี้เกิดจากการที่นายศุภชัยถูกกล่าวหาว่ามีการถ่ายโอนเงินจากสหกรณ์ฯคลองจั่นโดยในภาพรวม เป็นการซื้อที่ดินทั้งหมด 3 แปลง จากบริษัทเอ็ม-โฮมฯ 2 โดยบริษัทดังกล่าวได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 3 แปลงที่ถูกกล่าวหาว่านำเงินสหกรณ์ฯคลองจั่น มาซื้อในราคา 1 พันล้านบาท และได้มีการวางมัดจำเบื้องต้น 321 ล้านบาท แล้วที่เหลือจะมีการผ่อนต่อ แต่นายศุภชัยไม่ชำระเงินที่เหลือ ซึ่งที่ดินที่พิพาทดังกล่าวเป็นที่ดินที่ถูกบริหารจัดการภายใต้โครงการฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งศาลของบริษัทเอ็ม-โฮม 2ฯ และมีการถูกเจ้าหนี้ทวงถาม จึงมีการนำที่ดินไปขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ทำให้นายศุภชัยยื่นฟ้องบริษัทเอ็ม-โฮม 2ฯ เป็นคดีแพ่ง เพื่อบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย สุดท้ายศาลแพ่งได้ให้มีการประณีประนอม และมีคำพิพากษาตามยอมของคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย โดยให้บริษัทเอ็ม-โฮม 2ฯ โอนเงิน 321 ล้านบาท คืนให้กับนายศุภชัย เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้ไม่เคยโอนไปยังนายศุภชัย เงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น ที่นำมาซื้อที่ดินก็ได้โอนกลับคืนไปครบถ้วน
ต่อมาได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือจนมาถึงนายอนันต์ และนายอนันต์มีการบริจาคเงินบางส่วนให้กับวัดพระธรรมกาย จนมาถูกกล่าวหาว่าร่วมกับนายศุภชัยฟอกเงิน ตรงนี้ ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 พิจารณาว่า ถ้าได้ความแบบนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นที่นายอนันต์จะไปสมคบกับนายศุภชัยฟอกเงิน
เมื่อถามว่า เท่ากับว่านายอนันต์ไม่รับรู้เรื่องที่ดินระหว่างนายศุภชัยกับบริษัทเอ็ม-โฮม 2ฯ นายประยุทธ ตอบว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 พิจารณา เท่ากับว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างนายศุภชัย กับบริษัทเอ็ม-โฮม 2ฯ จำนวน 3 แปลง มูลค่า 1 พันล้านบาท นายอนันต์จึงไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น และประเด็นสำคัญในการประณีประนอมยอมความ คือ การคืนเงินทุกบาทให้กับสหกรณ์ฯคลองจั่น เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้ไม่เคยเป็นของนายศุภชัยและสหกรณ์ฯคลองจั่น กระบวนการที่มีการกล่าวหานายอนันต์ สมคบกับนายศุภชัยฟอกเงินนั้น พยานหลักฐานในสำนวนไม่ได้เป็นอย่างนั้น ข้อเท็จจริงในสำนวนเฉพาะคดีนี้สหกรณ์ฯคลองจั่น ไม่เกิดเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อถามต่อว่า สำนวนการฟอกเงินวัดพระธรรมกายของนายอนันต์และลูกสาวมาถึงมืออัยการกี่สำนวน นายประยุทธ กล่าวว่า ตนยังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ วันนี้เป็นเพียงการอธิบายเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ในคดีที่เกี่ยวพันกับนายศุภชัยฟอกเงินสำนวนนี้ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีความเชื่อมโยงเช่นนั้น เวลาอัยการสั่งสำนวน จะสั่งตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมายข้อเท็จจริงในสำนวน
เมื่อถามต่อว่า คำสั่งไม่ฟ้องนี้มาจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ซึ่งขณะนั้น นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ หากอธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้งกลับมา ความเห็นจะต้องถูกชี้ขาดโดยนายวงศ์สกุล ซึ่งปัจจุบันเป็นอัยการสูงสุดใช่หรือไม่
นายประยุทธ กล่าวว่า ในขณะนั้นผู้ที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ไม่ใช่ตัวนายวงศ์สกุล แต่เป็นผู้ที่รักษาการแทน เนื่องจากในขณะนั้น นายวงศ์สกุลไปราชการต่างประเทศ ประเด็นนี้จึงแยกจากกันชัดเจน