"กอ.รมน." ยัน ไม่ได้กลั่นแกล้ง 12 แกนนำ-นักวิชาการ เสวนาใต้ ชี้ จนท.ทำตามกฎหมาย มิฉะนั้นอาจถูกฟัน ม.157 (ละเว้นปฏิบัติหน้าที่) ย้ำ ไม่ได้มองประชาชนเห็นต่างเป็นศัตรู
วันนี้ (7 ต.ค.) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงกรณีที่กอ.รมน.ภาค 4 สน. แจ้งความดำเนินคดี แกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ 12 คน ที่ได้จัดเสวนา “พลวัฒแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” บริเวณลานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า การเสวนาดังกล่าวได้มีการพูดคุยกันซึ่งตอนหนึ่ง มีการพาดพิงมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ทำให้เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ที่ทำหน้าที่ด้านกฎหมายดำเนินคดีแจ้งข้อหากับผู้ที่เข้าร่วมเสวนาในวันนั้น
ทั้งนี้สิ่งที่ดำเนินคดี พล.ต.ธนาธิปยืนยันว่า มีความจำเป็นในเรื่องของการปฎิบัติงาน ถ้ามีการเพิกเฉย หรือละเว้นทางเจ้าหน้าที่ อาจจะได้รับผลกระทบ ผิดตามมาตรา 157 ได้ คิดว่าการปฏิบัติต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ ส่วนผลการตัดสินจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับศาลเป็นผู้ชี้ขาด โดยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล ซึ่งตนคิดว่าทุกคนคงเข้าใจตรงกัน และเคารพต่อศาล
พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการพูดถึงการปฏิรูป กอ.รมน. นั้น ขอยืนยันว่าที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างที่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ปี 2551 และดำเนินการใน ปี 2552 ซึ่งการดำเนินการ ในการปรับรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับมิติด้านความมั่นคง ที่เกิดขึ้นและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ดังนั้นการปรับโครงสร้างของกอ.รมน. ก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
"ตั้งแต่ ปี 2559-2560 ได้มีการปรับโครงสร้างอย่างเต็มรูปแบบ เพราะมิติความมั่นคง เพิ่มวงกว้างอยู่ทุกวัน สิ่งที่เราได้ทำสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกมิติ เช่น เรื่องยาเสพติด เรื่องการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการปรับโครงสร้างกอ.รมน.ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน"
ส่วนในเรื่องของการปฏิรูป พล.ต.ธนาธิป เผยว่า ไม่ได้ปฏิรูปอะไรเพียงแต่เพิ่มบริบทและความเข้าใจให้ทุกส่วนงาน เข้ามาบูรณาการการทำงานร่วมกับทางกอ.รมน.
เมื่อถามว่ามีการพูดว่าเมื่อคสช. หมดอำนาจลงก็ถ่ายโอนอำนาจมาให้ทางกอ.รมน.นั้น พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า ตนคิดว่านัยของการเพิ่มอำนาจ น่าจะเป็นการเพิ่มบทบาทมากกว่าที่กอ.รมน. ต้องเข้าไปเป็นแกนกลางในการประสานงาน เพื่อขับเคลื่อนงานทุกมิติที่เกิดขึ้นปัจจุบันกอ.รมน. ได้ดูแลทุกพื้นที่ หากพื้นที่ไหนมีปัญหาและหน่วยงานไม่สามารถแก้ปัญหาได้ โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบมากกว่า 2 หน่วยงานทางกอ.รมน. ก็จะเพิ่มบทบาทเข้าไปดูแล และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานั้น ๆ
"อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างของพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย และทุกกลุ่มสามารถยอมรับได้ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตย เราไม่เคยมองพี่น้องประชาชนเป็นศัตรู กอ.รมน. ยอมรับกฎกติกาทุกอย่าง ซึ่งดูได้จากที่ กอ.รมน.ได้จัดโครงการสองโครงการหลักขึ้น สามารถเห็นผลเป็นรูปธรรม อย่างชัดเจน อาทิ โครงการผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และโครงการพาคนกลับบ้าน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการที่จะมองประชาชน ที่เห็นต่างเป็นศัตรู ไม่ใช่บริบทของ กอ.รมน. และเชื่อว่าทุกวันนี้ทุกคนเข้าใจ กอ.รมน. มากขึ้นในมิติของความมั่นคง"
พล.ต.ธนาธิป ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้มอบนโยบายให้ข้าราชการ กอ.รมน. ทุกคนจะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ในทุกโอกาส และดูแลประชาชนทุกเชื้อชาติศาสนา อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านแจ้งความกลับพล.ท.พรศักดิ์ พลูสวัสดิ์ มทภ.4 และ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ที่กองปราบปรามจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของกอ.รมน.และกอ.รมน.ภาค 4 สน.หรือไม่ พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า คิดว่าไม่มีผลกระทบ แต่อย่างใด ซึ่งยอมรับว่าทุกคนต้องทำงานในหน้าที่ของแต่ละคน กอ.รมน.ภาค 4 สน. ถือว่าเป็นหน่วยงานในพื้นที่
ที่เห็นว่ามีการดำเนินการพาดพิง ไปถึงมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ กันในวงกว้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องออกไปปฎิบัติตามกฏหมาย เพื่อดำเนินคดี ดังนั้นคำตัดสินใด ๆ ก็แล้วแต่ ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ที่จะรู้ว่าใครจะผิดหรือถูกอย่างไร เป็นอำนาจของศาลที่เป็นกระบวนการตัดสินให้ชัดเจนว่าข้อมูลนี้จะเป็นอย่างไรในอนาคต ก็ต้องรอฟังคำสั่งศาลต่อไป ส่วนการปฎิบัติหน้าที่ของกอ.รมน.ภาค 4 สน. ตนคิดว่าไม่มีเฉพาะงานนี้งานเดียว เพราะการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องทำกันต่อไป
เมื่อถามว่ากกรณีนี้ กอ.รมน.ได้รับไฟเขียวจากใครหรือไม่ พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า ไม่มี เพราะเป็นการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ที่มีฝ่ายกฎหมาย เป็นผู้รับผิดชอบ หากนิ่งเฉยหรือเพิกเฉยทางเจ้าหน้าที่เองก็จะเกิดผลกระทบในฐานที่ละเลยการปฎิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
เมื่อถามว่าการไปแจ้งความนั้นมีคนพูดเพียงคนเดียวแต่ไปเหมารวมทั้งหมด พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า ต้องฟังฝ่ายกฎหมายของกอ.รมน. ภาค 4 สน. ว่าจะมีข้อมูลอย่างไร ในส่วนกอ.รมน. ซึ่งเป็นส่วนกลางก็ได้มีการติดตามข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องออกมาชี้แจงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ฝ่ายกฎหมายกอ.รมน. ภาค 4 สน. ออกมาปฎิบัติ แต่รูปคดีเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับศาล
"ผมขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีการกันแกล้งทางการเมือง เพราะสิ่งที่ทำยึดตามกฏหมายเป็นหลัก เนื่องจากมีการพูดพาดพิงข้อความหนึ่ง ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ของคนหลายกลุ่ม และเป็นวงกว้าง จึงต้องดำเนินการเป็นรูปธรรมตามกรอบของกฎหมาย" โฆษก กอ.รมน. กล่าว