แพทย์ ชี้นับถอยหลังทำโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ต้องดูแลกลุ่มสูงวัยเข้าถึงหมอเร็ว วัคซีนครอบคลุม 70% พร้อมเปิดแผน 4 ระยะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2565 ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในรายการ Covid Forum ที่นี่มีคำตอบ จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ร่วมกับสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ถึงประเด็น “นับถอยหลังโควิด สู่โรคประจำถิ่นอย่างปลอดภัย” ว่า สิ่งที่เราต้องคุยกันถึงสาเหตุที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พยายามเดินหน้าให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น(Endemic) แต่เราต้องคำนึง 3 สิ่งที่หากดึงไปส่วนใดมากเกินก็จะเสียสมดุล คือ แพทย์และสาธาณสุข เศรษฐกิจ และสังคม-สุขภาพจิต ช่วงแรกที่ล็อกดาวน์(lockdown) เราให้สาธารณสุขเป็นใหญ่ แต่ตอนนี้ต้องคำนึงถึงสุขภาพจิตของคนไปจนถึงเศรษฐกิจ ทำให้หลายประเทศ รวมถึงองค์การอนามัยโลก(WHO) สนับสนุนว่าในที่สุดจะต้องเป็นโรคประจำถิ่น โดยให้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า สามารถลดระดับได้แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบสาธารณสุขแต่ละประเทศ เตียงไม่ล้น และเน้นย้ำว่าต้องเข้าถึงวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็ม ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มอย่างน้อย 70% และยาต้านไวรัส ติดแล้วต้องรักษาทันท่วงที
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวว่า ธรรมชาติของไวรัสโคโรน่า2019 สายพันธุ์ที่ระบาดได้รวดเร็วกว่าก็จะเป็นตัวกลายพันธุ์มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา เบต้า อัลฟ่า เดลต้าสูญพันธุ์ไปแล้ว ตอนนี้เป็นโอมิครอนที่มีลูกผสมกับสายพันธุ์อื่น เรียกว่าตระกูล “X” ซึ่งโอมิครอนที่องค์การอนามัยโลกจับตามองคือ BA.4 ที่มีการกลายพันธุ์ต่างจากอู่ฮั่นประมาณ 80 ตำแหน่ง ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่มี .(จุด) อาการทางคลินิกไม่ต่างจากโอมิครอน วัคซีนยังได้ผล แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มเห็นความต่าง ก็จะมีการตั้งชื่อเป็นสายพันธุ์ใหม่ ทั้งนี้ WHO คาดฉากทัศน์การกลายพันธุ์ของโควิด 2 รูปแบบ คือ 1.ไวรัสไม่มีการกลายพันธุ์ ค่อยๆ หายไป 2.กลายพันธุ์แล้วอาการรุนแรง จำเป็นต้องพัฒนายาและวัคซีนต่อไป
นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กล่าวว่า สำหรับการดูแลผู้สูงอายุเพื่อนับถอยหลังเข้าสู่โรคประจำถิ่น สิ่งสำคัญคือต้องมีเตียงรองรับผู้สูงอายุเพียงพอ ระบบสาธารณสุขจึงเป็นคีย์สำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงได้รับการดูแลทันที ตนมองว่าหากอัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.1-0.2% น่าจะสามารถรองรับได้ แต่ปัจจัยหลักของการสูญเสียในกลุ่มสูงอายุคือ เพิ่งทราบว่าติดเชื้อแล้วรักษาไม่ทัน ดังนั้น หากทาง สธ.มีช่องทางพิเศษในกลุ่มนี้ก็จะลดความสูญเสียได้
“การเป็นโรคประจำถิ่น เราจะดูเกณฑ์การเสียชีวิตมากกว่าการติดเชื้อ ดังนั้น หากมีการรักษา มียาใหม่ๆ เข้ามา ก็จะลดอัตราเสียชีวิตได้ เป็นจุดเปลี่ยนเกม ดังนั้น รัฐบาลต้องผลักดันให้มีการนำเข้ายาในราคาที่ถูก รวมถึงการแก้ไขปัญหาสิทธิบัตรเพื่อซื้อเคมีภัณฑ์ให้มีการผลิตได้ในประเทศ” นพ.ฆนัทกล่าว
ด้าน นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ(ด้านเวชศาสตร์ป้องกัน) กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับการทำโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เมื่อปลายเดือน ก.พ. มีการทำแผน 4 ระยะเพื่อกำหนดมาตรการ 4 อย่างที่เข้มข้นต่างกัน เรียกว่า 4x4 คือ 1.ระยะ Combatting (มี.ค.) การลดอัตราติดเชื้อ 2.ระยะ Plateau (เม.ย.-พ.ค.) เริ่มอยู่ขาลง 3.ระยะ Declining (พ.ค.-มิ.ย.) สถานการณ์ขาลงจริงๆ และ 4.ระยะ Post Pandemic (1 ก.ค. เป็นต้นไป) ขณะที่ มาตรการ 4 อย่าง ได้แก่ ระบบสาธารณสุข การแพทย์ กฎหมาย และ การสื่อสาร ทั้งที่ มาตรการสำคัญคือวัคซีนโควิด เน้นคัดกรอง และการอนุญาตให้มีการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อให้เราก้าวไปสู่โรคประจำถิ่น(Endemic) ในช่วงเดือน ก.ค. แต่สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดสำคัญคือ การติดเชื้อและเสียชีวิตไม่มากนัก หรือมีการกลายพันธุ์ที่อาการทางคลินิกน้อยลงกว่าเดิม ความสูญเสียเท่าๆ กับโรคประจำถิ่นอื่น เช่น โรคไข้เลือดออก
“สถานการณ์โควิดปัจจุบันแนวโน้มทั่วโลกลดลง แต่เอเชียรวมถึงไทยยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม ประชาชนเรียนรู้ในการดูแลตัวเอง ตรวจ ATK หากมีอาการน้อยก็รักษาที่บ้าน(HI) มีอาการมากก็เข้าสถานพยาบาล ทั้งนี้การติดเชื้อที่พบหลัก 2 หมื่นราย เราจะรู้ว่าตัวเลขน้อยกว่าความเป็นจริง แต่ที่เรากังวลคือการใช้เตียง โดยเฉพาะกลุ่มปอดอักเสบที่มีโอกาสเสียชีวิต โดยข้อมูล 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า 95% ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้เข็มกระตุ้น รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ด้วย” นพ.อนุพงศ์กล่าว
นพ.อนุพงศ์ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนผ่านจากโรคระบาดและโรคประจำถิ่น จะต้องเล่าว่าเดิมโควิดถูกบรรจุเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พรบ.โรคติดต่อ ดังนั้น จะต้องมีการแก้กฎหมายให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งสถานะทางกฎหมายจะลดลงตามลำดับ จึงต้องมีการทำความเข้าใจกับผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร หรือ ศบค. ก็จะไม่มีอำนาจแล้ว แต่จะต้องมีการดูแลในรูปแบบโรคติดต่อ มีการติดตามสอบสวนโรคในคลัสเตอร์ใหญ่ มีการรายงาน เฝ้าระวังโดยสถานพยาบาล ฉะนั้น เราจะต้องเรียนรู้อยู่กับโรค การ์ดต้องไม่ตก เพื่อให้เราค่อยๆ ขยับมาตรการออกไป