กองปราบรวบหนุ่มใหญ่อุปโลกน์ตัวเองเป็น ‘ประธานคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยาม’จอมลวงโลก หลอกเก็บค่าสมัครสมาชิก พบปีเดียวเงินหมุนเวียนเกือบ 30 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ขุดปฏิบัติการ กก.4 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายกำจรเกียรติ อินทคง อายุ 43 ปี ประธานคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 778/2565 ลงวันที่ 21 เม.ย. 2565 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ปลอมเอกสารสิทธิ, ใช้เอกสารสิทธิปลอมและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ” หลังจับกุมตัวได้พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง อาวุธปืน 1 กระบอก สมุดบัญชีธนาคาร 7 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 8 ใบ เอกสารเกี่ยวกับคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยามและบริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง เสื้อมีสัญลักษณ์ตราคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยาม จำนวน 4 ตัว นามบัตรบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานและน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 1 ใบ ได้ที่บริเวณอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สำหรับคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยาม ก่อนหน้านี้เคยถูกตำรวจกองปราบตรวจสอบมาแล้วเมื่อปี 2563 เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อเค้ากระทำความผิด ชักจูงประชาชนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตามผังองค์กร โดยแจ้งว่าจะมีเงินเดือนค่าตอบแทนในแต่ละระดับตั้งแต่ 15,000 - 1,000,000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าโครงการตามที่กล่าวอ้างไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง และมีผู้อยู่เบื้องหลังคือนายกำจรเกียรติ ผู้ต้องหารายนี้ แต่เนื่องจากขณะนั้นยังเป็นเพียงการเริ่มต้นจึงยังไม่ปรากฎความเสียหายที่แน่ชัดทำให้ไม่สามารถเอาผิดได้ จึงพยายามสืบสวนเฝ้าสังเกตการณ์ พร้อมกับประชาสัมพันธ์เตือนภัยให้กับประชาชนเรื่อยมา
พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวว่า จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือน ก.พ.2565 ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งข้อมูลจากพลเมืองดีชาว จ.เชียงใหม่ ว่า “คณะปฏิรูปยุทธศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทสยาม” ได้มาชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่ม โดยอ้างว่า ถ้าเข้าร่วมจะได้ตำแหน่งผู้อำนวยการระดับตำบล มีค่าตอบแทนให้เดือนละ 50,000 บาท แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยอมเสียค่าสมัครสมาชิกแรกเข้าเป็นเงิน 320 บาท พร้อมกับนำพยานหลักฐานต่างๆมามอบให้ เจ้าหน้าที่จึงเร่งจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสหลักฐานเพิ่มเติม จนทราบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง โดยเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาวบ้านในแทบพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, ตาก, พิจิตร และนครสวรรค์ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ
พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวต่อว่า สำหรับรูปแบบหรือวิธีการหลอกลวง นายกำจรเกียรติ ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นประธานคณะปฏิรูปยุทธศาสตร์ฯ จากนั้นจะทำทีตีสนิทกลุ่มชาวบ้านแล้วชักชวนให้เข้ากลุ่มเป็นสมาชิก โดยชี้แจงนโยบายการทำความดีของกลุ่มจำนวน 19 ข้อ เกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ มีเงินเดือนให้ เพื่อสร้างแรงจูงใจ รวมถึงยังมีการแอบอ้างตัวว่าเป็นประธานบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานและน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ก็เพื่อจะหลอกเอาเงินค่าสมัครสมาชิก แม้เงินค่าสมัครต่อคนจะเป็นเพียงเงินหลักร้อย แต่เมื่อมีจำนวนผู้หลงเชื่อสมัครสมาชิกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็จะถือเป็นจำนวนเงินที่มหาศาล เฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ 1 ม.ค.2564 – 28 มี.ค.2565 พบมียอดรวมเงินโอนเข้ากว่า 29 ล้านบาท
พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบบริษัทต่างๆของนายกำจรเกียรติ ที่มีการกล่าวอ้างว่าพบไม่มีการประกอบกิจการตามที่กล่าวอ้างจริง อีกทั้งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินยังพบว่า เงินที่ได้มาส่วนใหญ่จะถูกโอนไปยังหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีหลายราย บางรายโอนเงินเพื่อให้หญิงสาวโชว์ของลับวาบหวิว, โอนให้กับผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ที่เป็นกลุ่มพวกพ้อง หรือ ผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ขณะเดียวกัน
จากการสอบสวน นายกำจรเกียรติ ให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เบื้องต้นจึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาก่อนนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป