อิศราร่วม ป.ป.ช.จัดกิจกรรมผู้บริหารพบสื่อประจำปี 64 เลขาฯเผยดำเนินงานป้องโกงแบบเชิงรุก ลุยสางคดีเก่า ลั่น ก.ค. 64 ปิดจ็อบกว่า 8-9 พันคดี ยืนยันทำงานเข้มข้น
.........................................................
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ สำนักข่าวอิศราร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. จัดกิจกรรมผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ช. พบสื่อมวลชนผ่านระบบ Zoom ในการติดตามความคืบหน้า 15 คดีสำคัญ โดยมีนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีก 3 ราย ได้แก่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล นายอุทิศ บัวศรี นายพิเชษฐ์ พุ่มพันธ์ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงในสำนักงาน ป.ป.ช. เข้าร่วมกิจกรรม
นายวรวิทย์ กล่าวถึงภาพรวมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตว่า มาตรการป้องกันของ ป.ป.ช. ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเชิงรุก หมายความว่าหาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. สงสสัยว่าโครงการใดจะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางมิชอบ จนเกิดปัญหาการทุจริต คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่า โครงการดังกล่าวมีช่องว่างช่องโหว่ หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายขึ้นหรือไม่ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถให้ข้อเสนอแนะแจ้งไปยังหน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการแก้ไขได้ โดยมาตรการป้องกันการทุจริตเป็นงานประจำที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ภายหลังประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 สำนักงาน ป.ป.ช. มีการออกอนุบัญญัติต่าง ๆ รวม 78 ฉบับ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร และพัฒนางานด้านการป้องกัน งานด้านการปราบปราม และงานด้านการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยด้านการป้องกันถูกปรับปรุงมากที่สุด เช่น จัดตั้งสำนักเฝ้าระวังและประเมินการทุจริต เพื่อตรวจสอบว่าโครงการใดมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีพฤติการณ์ส่อทุจริตบ้าง เป็นต้น ส่วนงานด้านการปราบปราม มีการสร้างสำนักเฉพาะทางขึ้น เช่น สำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เรียกว่ามีหมอเฉพาะทางมากขึ้น ส่วนงานด้านการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น คดีตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติ เดิมเป็นหน้าที่ของงานด้านการปราบปราม ซึ่งอาจไม่ถนัด และอาจมองไม่เห็นภาพกว้าง จึงมีการปรับใหม่ให้สำนักตรวจสอบทรัพย์สินดูแล เพราะเป็นสายตรง แต่นำกระบวนการด้านการไต่สวนของด้านปราบปรามมาเพิ่มเติม เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมคดีทั้งหมดในปีงบประมาณ 2564 (ระหว่าง ต.ค. 2563-พ.ค. 2564) มีเรื่องร้องเรียนกล่าวหาทั้งสิ้น 4,920 เรื่อง ลดลงจากปีงบประมาณ 2563 รวม 1,403 เรื่อง ทั้งนี้มีคดีอย่างน้อย 8-9 พันคดีที่เป็นคดีเก่า รับไต่สวนก่อนวันที่ 21 ก.ค. 2561 ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการให้เสร็จใน 3 ปี คือภายในวันที่ 22 ก.ค. 2564 โดยคาดว่าจะทำแล้วเสร็จตามเป้าประมาณ 90% แต่เนื่องจากขณะนี้มีสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด อาจมีบางคดีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจเข้ามาให้การได้ อาจมีล่าช้าอะไรไปบ้าง แต่จะพยายามให้อย่างน้อยไม่เกินปีงบประมาณ 2564 หรือภายในเดือน ก.ย. 2564 นี้ เบื้องต้นเท่าที่ดูมีประมาณ 10 คดี ยืนยันว่าทำงานอย่างเข้มข้นทุกฝ่าย
“การทำงานของ ป.ป.ช. จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน หรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ สื่อมวลชนถือเป็นกระจกสำคัญที่จะสะท้อนข้อมูลต่าง ๆ ไปให้กับประชาชน รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ด้วยเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุง ให้มีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น” นายวรวิทย์ กล่าว
ในช่วงท้าย นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านงานปราบปราม กล่าวสรุปว่า ป.ป.ช. ไม่อยากเอาผิดกับใคร เนื่องจากแนวทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันการทุจริต โดยเฉพาะในกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ ระบุชัดเจนว่า กรณีมีเหตุอันควรสงสัยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ โดยประชาชนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยในการตรวจสอบ และป้องกัน ไม่ให้การกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่ถ้ามีความผิดเกิดขึ้น หรือสำเร็จแล้ว เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในการปราบปรามอย่างจริงจัง อยากเรียนประชาชน และสื่อว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ต้องกล้าลุกขึ้นมาชี้ช่องเบาะแสให้กับ ป.ป.ช. เพราะสุดท้ายงานด้านการปราบปรามต้องพึ่งพยานหลักฐาน เช่น คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล ที่มีการร้องเรียน เป็นปัญหาที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาถูกสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอมีเหตุต้องรับผิดทางอาญา เข้ามาร้องขอความเป็นธรรม ถ้าไม่เห็นด้วย กฎหมายบอกเลยว่าให้แจ้ง ป.ป.ช. ถ้าแจ้งแล้วว่าถือว่าบุคคลนั้นไม่ต้องถูกดำเนินการทางอาญา หรือทางวินัย หรือ ป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบและคุ้มครองด้วย
นายพิเชษฐ์ พุ่มพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านงานตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กล่าวว่า ภารกิจแรกของสำนักตรวจสอบทรัพย์สินคือ การไต่สวนเรื่องร่ำรวยผิดปกติ โดยคดีที่เกิดขึ้นก่อน พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับใหม่ มีอย่างน้อย 37 คดีจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ส่วนการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเป็นภารกิจหลัก มีกรอบดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 90 วัน การตรวจสอบมีคดีค้างเก่า พยายามสะสางให้แล้วเสร็จ เพื่อทำงานใหม่ให้เป็นลำดับต่อมา นี่คือภาพรวม ส่วนเรื่องใหม่ที่จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น สำนักตรวจสอบทรัพย์สินดำเนินการทำฐานข้อมูล เตรียมแผนรองรับ ตรงไหนขาดเหลืออะไร จะเติมให้ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านงานป้องกันการทุจริต กล่าวว่า งานด้านป้องกันเปรียบเสมือนสถานการณ์โควิด-19 ที่ตอนนี้ทุกคนต้องใส่แมสก์ ต้องมีมาตรการ ต้องรักษา ต้องให้ความรู้ โดยประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมทั้งหมดในการป้องกันการทุจริต
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage