เจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการจู่โจม 55 เป้าหมาย รวบ 50 ผู้ต้องหา ทั้ง 'โรงแรม-ที่พัก-ร้านอาหาร' ในพื้นที่ 'ชัยภูมิ-ภูเก็ต' ตั้งแก้งโกงโครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' พบบางแห่งพฤติกรรมส่อพิรุธ รีสอร์ทขนาดเล็ก แต่ยอดจอง 1-3 พันห้องต่อวัน ทำรัฐเสียหายรวม 122 ล้านบาท 'บิ๊กตู่'ขอบคุณเจ้าหน้าที่ แง้มเตรียมขยายผลจับกุมอีก 900 รายในจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศ
............................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 27 ม.ค. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าชุดปฏิบัติการ กก.3 ,5 บก.ป. และ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิดทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
โดยจะกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 55 จุด ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต แบ่งเป็นเป้าหมายในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ 41 จุด และ จ.ภูเก็ต 14 จุด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจาก พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยทุจริต ฉ้อโกงเงินของรัฐจากโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐที่จัดทำขึ้นมาเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงไวรัสโควิด-19 จนกระทั่งพบว่าผู้ประกอบการเหล่านี้มีการกระทำผิดโดยการโดยอาศัยช่องว่างทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้กระทำผิด ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง ,ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ” จนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว
โดยเมื่อเวลา 10.30 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุจริตโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ โดยมีผู้ต้องหาทั้งหมด 50 ราย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบปราม กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุด
@คาดมีประชาชนจงใจร่วมทุจริตอีก 9,000 คนทั่วประเทศ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับผู้ประกอบการที่อยู่ในขบวนการ 2 แห่ง คือ ที่ ใน จ.ชัยภูมิ มีหมายจับ 41 คน จับได้ 36 คน และ จ.ภูเก็ต จับได้ 14 คน อย่างไรก็ตามยืนยันว่า หากสอบสวนพบว่า ยังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติม จะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่ม เช่น ประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิ์ในลักษณะทุจริต โดยเบื้องต้นคาดมีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศ และเตรียมออกหมายเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ โดยจากการตรวจสอบถึงวันนี้ยังไม่พบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า จากการสืบสวนร่วมกันพบมีผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการเข้าข่ายทุจริตหลายรูปแบบ เช่น เปิดให้จองห้องพัก แต่ไม่เข้าพักจริง , นำคูปองที่ได้รับหลังเช็คอินห้องพักไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าแต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียนถูกต้องแต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก หรือมีการตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด
@ชัยภูมิโรงแรมเล็กจองห้องพัก 3 พันห้องต่อวัน รัฐเสียหาย 101 ล้านบาท
โดยที่ จ.ชัยภูมิ เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าค้นโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท และพื้นที่ที่มีผู้เกี่ยวข้อง 41 ราย 38 จุด แบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย เจ้าของร้านค้า 22 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 14 ราย ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 1 ราย ทั้งนี้มีการกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และศรีษะเกษ
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องได้เพียง 36 ราย ซึ่งพบว่ามีพฤติการณ์ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก มีห้องพักเพียง 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือน ก.ค.2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิโครงการจำนวน 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้อง เต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็คอินและเช็คเอ้าท์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจากเช็คอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติรวม มูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท รวม 14 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 101 ร้าน ความเสียหายประมาณรวม 87 ล้านบาท
พ.ต.อ.เอนก กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการ โดยมีผู้ซื้อสิทธิ ตามหาซื้อสิทธิในโครงการให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้ว ผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอปพลิเคชั่นเป๋าตังก่อน จากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือจะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิ โดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้ว จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ ซึ่งหลังจากที่ผู้สวมสิทธิทำการเช็คอินตามห้องพักที่ได้ทำการจองไว้ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็คอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม
@รวบ 3 ผู้ประกอบการ เครือข่ายโรงแรมภูเก็ต รัฐเสียหายร่วม 22 ล้านบาท
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า ส่วนที่ จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าค้นโรงแรมธาราป่าตองบีชรีสอร์ทแอนด์สปา และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วยเจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์หรือสวมสิทธิ์ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 4 ราย มีประชาชนร่วมทุจริตรวมกว่า 800 ราย ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 14 ราย มีพฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไป โดยโรงแรมจะร่วมมือกับผู้จัดทัวร์มีการเชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิจะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืนโดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็คอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 2 ร้านค้า ความเสียหาย 3.9 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวเตือนว่า สำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนฯ และข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ ทั้งนี้พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยัง ปปง. ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ส่วนใครที่ยังคิดจะทำในลักษณะนี้อยู่ ก็ขอเตือนให้หยุดกระทำ เพราะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงแรมอื่น ยังมีอยู่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด จะแบ่งมอบหมาย ให้แต่ละภาคดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังและ ททท.แจ้งมา
นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงไทยหลังจากตรวจพบความผิดและมีการอายัดตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2563 มีความเสียหายบางส่วน ส่วนเรื่องพฤติกรรมนั้น ไม่แน่ใจว่าพบมานานแล้วหรือไม่ จริงๆ พบข้อมูลเป็นหลักเดือน แต่ความชัดเจนเพิ่งมาเจอตอนช่วงสิ้นปี 2563 โดยมีสองส่วนที่พบความผิดปกติคือโรงแรม และอีกส่วนคือประชาชนที่ใช้สิทธิ์ ส่วนที่เราอายัดไปมีจำนวนที่เสียหายไม่ได้มากนัก แต่มีผลกระทบกับโครงการ
นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมูลค่าที่ตรวจสอบพบประมาณ 1,000 ล้าน แต่ไม่ได้เสียหาย เพราะว่ามีส่วนที่อายัด ต้องเอาสองส่วนมาประกอบกัน แต่ความเสียหายที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้สุด ส่วนกรณีที่มีการทุจริตเราสามารถตรวจสอบได้แต่ไม่หมด เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยน เราไม่สามารถเปิดเผยแผนประทุษกรรมได้ เดี๋ยวจะมีการเลียนแบบ นอกจากนี้พื้นที่ภูเก็ตและชัยภูมิที่พบความผิดแล้ว ยังพบในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองโดยส่วนใหญ่
ด้าน น.ส.สภัทร์พร กล่าวว่า อยากจะฝากเตือนสำหรับโครงการเราชนะ เพราะหลักๆ โครงการเอาเงินเข้าแอพ เพื่อจะใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อย่าทำเพราะระบบจะทำการจับได้ว่าออกมาแบบไหนได้ มันผิดวัตถุประสงค์และเงื่อนไขของโครงการ รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้
@'บิ๊กตู่'แง้มเตรียมขยายผลจับอีก 900 รายในเมืองท่องเที่ยว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ว่า เช้าวันนี้มีการจับกุมผู้กระทำความผิดทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จับผู้ต้องหาได้ 50 คนจากเครือข่าย 2 โรงแรม และเตรียมขยายผลอีก 900 รายในเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ขอให้เร่งดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เด็ดขาด และรวดเร็ว ส่วนในช่วงเวลานี้ ใครที่คิดจะทำอะไรก็ตามที่เอาเปรียบพี่น้องร่วมชาติ โกงชาติ โกงระบบที่ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน ขอให้สำนึกว่า ทุกบาททุกสตางค์ที่ขโมยไปนั้น ส่งผลทำให้คนที่ควรจะได้ กลายเป็นไม่ได้ และพวกท่านกำลังทำลายกลไกและกระบวนการทั้งหมด ทำให้เราต้องสร้างเงื่อนไขและขั้นตอนเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันการโกง ขอให้ทุกคนตระหนัก และยอ่าทำอะไรที่เป็นการทุจริตและเอาเปรียบคนไทยด้วยกันเลย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage