ปิดตำนาน นปช.วุ่นหนัก! ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ออกโรงย้ำสาเหตุควรยุบองค์กร ชี้อยู่ไปก็เป็นปัญหาการเมือง ไม่ควรแบกความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ชี้ พ.ร.บ.สุดซอยฯ คือรักแท้ในคืนหลอกลวง รับเดินสายคุยแกนนำเพื่อยุติบทบาท ลั่นทุกอย่างที่สู้กันมาไม่มีอะไรยึดติด ยันไม่เคยร่วมสังฆกรรมเผด็จการ ด้าน 'ก่อแก้ว พิกุลทอง' ออกโรงขวาง ยันองค์กรไม่ใช่สมบัติส่วนตัวใคร รับตอนนี้ภายในแตกเป็น 2 ฝ่าย แนะถ้าเหนื่อยก็พัก เปิดทางให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน
.........................
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2563 นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมยุบ นปช. เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมาว่า นปช.ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อความยุติธรรมมาตรฐานเดียว นปช.ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ขณะนี้ยังอยู่ในสภาพเผด็จการซ่อนรูปและความยุติธรรมยังหลายมาตรฐานอยู่ จะมายุบองค์กรทิ้ง เลิกต่อสู้ ทั้งที่เวลาผ่านมานับสิบปี มวลชนและแกนนำต่างเสียสละมากมาย ทั้งด้วยชีวิต ติดคุก ทรัพย์สินเงินทอง การต่อสู้ของ นปช.เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากล แล้วจะมาชวนยุบทิ้งนั้น ยอมรับว่างง ทำไมถึงต้องเลือกหนทางนี้ ทั้งที่จริงแกนนำแต่ละคนก็เป็นเสรีชน ถ้าใครเหนื่อยหรือเบื่อหรือมีอุปสรรคในการทำงาน ไม่สามารถเป็นแกนนำต่อได้ ก็สามารถหยุดพักได้ตามสะดวก
นายก่อแก้ว กล่าวด้วยว่า แม้ทุกวันนี้แกนนำ นปช.มีการแตกเป็น 2 กลุ่ม อันเนื่องมาจากที่นายจตุพรตัดสินใจจับมือกับพรรคพวกตั้งพรรคเพื่อชาติ แกนนำหลายคน รวมทั้งตนไม่เห็นด้วย ขอเดินต่อกับพรรคเพื่อไทย จนทำให้แกนนำแยกเป็น 2 กลุ่ม แยกทำงานคนละพรรคการเมืองกัน หลังจากนั้น นปช.ไม่เคยมีการประชุมร่วมกันเลย แต่ที่จริงพวกเราไม่ได้แตกแยกกัน ยังเป็นเพื่อนมิตรและสามารถทำงานร่วมกันได้ ยังชื่นชมและรักใคร่นายจตุพรในฐานะเพื่อนสนิท เขาเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา และรักเพื่อน ยังเชื่อมั่นว่านายจตุพรยืนหยัดอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน อย่างที่หลายคนกังขา หรือกล่าวหาโจมตี
“ผมไม่เห็นด้วยกับคุณจตุพรในการขับเคลื่อนทางการเมืองหลายเรื่อง ไม่ว่าการที่อยู่ในฐานะประธาน นปช.แต่ไปเยี่ยมอดีตพระพุทธอิสระถึงวัด ทั้งที่อดีตพระพุทธอิสระเป็น 1 ในขบวนการล้มประชาธิปไตย นำพามาสู่การยึดอำนาจ การตั้งพรรคเพื่อชาติโดยไม่หารือกับเพื่อนแกนนำก่อนถึงข้อดีข้อเสีย ทำให้นำไปสู่การที่แกนนำแตกเป็น 2 กลุ่ม 2 พรรค การปราศรัยหาเสียงที่เชียงใหม่แล้วมีการโจมตีผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการเสนอแนวคิดที่จะยุบ นปช.เพราะภารกิจของ นปช.ยังไม่บรรลุเป้าหมายและ นปช.ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของแกนนำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสมบัติของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ” นายก่อแก้ว กล่าว
แกนนำ นปช. กล่าวด้วยว่า ในฐานะเพื่อนขอแนะนำว่านายจตุพร ควรนัดประชุมแกนนำ นปช.เพื่อหารือแนวทางการเมืองที่ควรจะขับเคลื่อนร่วมกันในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อย แบกต่อไม่ไหว ก็หยุด ไม่ต้องฝืน ปล่อยให้แกนนำคนอื่น ๆ ทำหน้าที่ต่อไป หรือเชิญชวนคนรุ่นใหม่ ๆ ที่มีไฟ มาสานงานขับเคลื่อน นปช.ให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
@'จตุพร'ลั่นถ้าองค์กรยังอยู่ ยิ่งเป็นปัญหาการเมือง-ไม่ควรแบกความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ช่วงเย็น เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธาน นปช. เฟซบุ๊กไลฟ์ผ่านแฟนเพจ Peace TV ในรายการ Peace Talk เน้นย้ำถึงเหตุผลในการยุบ นปช. อีกครั้งว่า ถ้าองค์กรยังอยู่ ยิ่งจะเป็นปัญหาการเมือง และไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวอันใด ดังนั้นจึงไม่ควรแบกความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไว้อีกต่อไป ขบวนการต่อสู้ของประชาชนแต่ละยุคสมัย ล้วนยุติบทบาทลงหลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ อีกทั้งแกนนำต่อสู้จะมีบทบาทเพียงในสมรภูมิเดียว ไม่ปรากฎไปต่อสู้ในสมรภูมิอื่นอีกเลย เช่น นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล และนางเสาวนีย์ ลิมมานนท์ หลังจากยุค 14 ตุลา 2516 แล้ว ไม่ปรากฏตัวในเหตุการณ์อื่นอีก
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนพฤษภาทมิฬ การต่อสู้จบลงภายหลังเหตุการณ์สิ้นสุด คงเหลือแต่การตั้งมูลนิธิฯ และคณะกรรมการญาติวีรชน มาเรียกร้องการแก้ปัญหาในสังคม นอกจากนี้ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ 3 องค์กรที่มีบทบาทการต่อสู้ก็ยุติลง เช่น พันธมิตรฯ และ กปปส. แต่ นปช. ยังไม่ประกาศยุติบทบาทชัดเจน ซึ่งความจริงแล้วควรยุติลงหลังเหตุการณ์ ปี 2553 เพราะความตื่นตัวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงที่ต่ำสุด
"ระหว่างนั้น นปช.ยังต้องอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนตาย อีกทั้งหลังเลือกตั้งปี 54 ได้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว ควรต้องยุติบทบาท แต่ต้องทำภารกิจปกป้องประชาธิปไตย อีกอย่างความเชื่อการต่อสู้ถูกแปรเปลี่ยนไปให้นักการเมืองเข้ามาจัดการคนเสื้อแดงแทน เป็นการแบ่งแยกปกครองทำลายมากมาย จนมาถึงจุดการอ้างว่า รัฐบาลอยู่ได้ด้วยฝ่ายที่ปราบปรามคนเสื้อแดงปี 53"นายจตุพร กล่าว
@ชี้ พ.ร.บ.สุดซอยฯคือรักแท้ในคืนหลอกลวง
นายจตุพร กล่าวต่อว่า กระทั่งนำไปสู่รักแท้ในคืนหลอกลวงกรณี พ.ร.บ.สุดซอยฯ รวมทั้งการวางแผนให้ตนถูกตัดสิทธิ์ในวันที่ 18 พ.ค. 2555 และในวันที่ 19 พ.ค.ก็นัดชุมนุมครบรอบ 2 ปี เพื่อต้องการให้กระทำการบางอย่าง เป็นการหลอกลวงชนิดรุนแรงที่สุด อย่างไรก็ดีสาเหตุที่เล่าเรื่องนี้ ต้องการบอกว่า คนเสื้อแดงไม่ได้อยู่ในช่วงแข็งแรงเหมือนปี 2553 อีกทั้งในปี 2557 ตนถอยมาแล้วจากการเจ็บปวดกับ พ.ร.บ.สุดซอยฯ จะพาให้ขบวนการประชาธิปไตยเดินเข้าสู่คิลลิ่งโซน แล้วแพ้ราบคาบ พร้อมกับยัดการกล่าวหาที่รุนแรงให้ จากนั้นตนถูกตามให้มาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ตนมาเพราะเห็นว่า ประชาธิปไตยกำลังสูญเสีย ดังนั้น ทีผ่านมามีหลายช่วงเวลาที่ต้องยุติบทบาท รวมทั้งขณะนี้แกนนำส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องหาหมด จึงสมควรต้องยุติบทบาทองค์กร นปช.อย่างยิ่ง การจะมีองค์กรนี้ต้องตอบคำถามว่า อยู่เพื่ออะไร
“ที่สำคัญคือ การยุบ นปช.ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปอยู่กับเผด็จการ เพราะนี่คือความเลวร้ายในการตั้งข้อกล่าวหา เป็นความชั่ว ผมรู้ขบวนการนี้เกิดมาได้อย่างไร ผมได้นัดทีมทนายความเพื่อดำเนินคดีกันจริง ๆ ทั้งแพ่งและอาญากับคนเก่งทั้งหลาย ที่ต่อว่าคนอื่นสาดเสียเทเสีย โดยเฉพาะการว่าเป็นเผด็จการ"นายจตุพร กล่าว
อนึ่ง เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวตอนหนึ่งในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ส่งท้ายปี 2563 ว่า ปีนี้เป็นบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าท่ามกลางเรื่องราวมากมาย และปีหน้าก็จะเป็นปีที่เรื่องราวจะมากกว่าปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจสังคม การเมืองในทุก ๆ ด้าน แต่การต่อสู้กับเผด็จการนั้นสู้ไปสู้มา กลายเป็นตนถูกผลักไปอยู่ร่วมกับเผด็จการ เป็นข้อหาที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยอ้างเรื่องเชียงใหม่ที่ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ดังนั้นทุกเรื่องราวเมื่อมีการโจมตีใส่ร้ายตน ตนลุกขึ้นต่อสู้ตามวิถีทางที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความดีงามทั้งหลาย
นายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาตั้งใจจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร แต่เมื่อปล่อยไว้ยิ่งได้ใจ กล่าวหาทุกเรื่องที่เป็นความเท็จ โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าไปอยู่กับเผด็จการ ต้องไปสู้กันในชั้นศาล เพราะคนเราหากจะชั่วไปอยู่กับเผด็จการก็คงไม่มาเสียคนเอาตอนแก่ วิถีชีวิตของตน จากเด็กวัดไปเป็นครูดอยที่ไม่มีเงินเดือนกว่า 3 ปี ออกมาเป็นผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬลงเวทีอย่างมือเปล่ากลับไปอยู่หอพักใช้ชีวิตเเบบเดิม และก่อนที่จะมาพรรคไทยรักไทยได้ไปทำงานเกี่ยวกับภาคองค์กรประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องแรงงาน เหล่านี้ปรากฏเป็นข่าวสามารถย้อนกลับไปดูได้ ดังนั้นในระหว่างทางก็สู้กันมาตลอดทาง ไม่เคยอยากได้ใคร่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งก็ลงมาสู่บนท้องถนนอย่างจริงจัง กันอีกรอบหลังจากการยึดอำนาจปี 2549 จาก นปก.จนกระทั่ง นปช. ตนไม่เคยคิดที่จะอยากเป็นประธาน นปช. แม้แต่วันเดียว และไม่เคยรอดสักคดีอย่างที่ถูกกล่าวหา
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ดังนั้น สิ่งที่อยากจะบอกในวันนี้ว่า เราพยายามประคับประคองทุกสถานการณ์ ยืนยันเป็นนายจตุพรเหมือนเดิม ร้องเพลงเดิมทุกอย่าง เพียงแต่อายุมากขึ้น ก็ต้องลดคีย์ลงมาบ้าง แต่งเนื้อเพลงเหมือนเดิม ส่วนทิศทางของนปช.จะเป็นอย่างไรนั้น ได้เดินสายคุยกับแกนนำแต่ส่วนตัวเห็นว่าควรจะยุติองค์กร นปช.ให้เป็นตำนาน
“ทุกอย่างที่สู้กันมานั้น ไม่มีอะไรติดยึด ทุกอย่างมันคือหัวโขน หากติดยึด มันต้องติดยึดกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ใช่มาติดเอาตอนแก่” ประธาน นปช.กล่าว
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายจตุพร จาก https://www.thairath.co.th/ และ https://www.facebook.com/Jatuporn.UDD, ภาพนายก่อแก้ว จาก https://siamrath.co.th/
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/