เปิดเหตุผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ยืนตามศาล ปค.นครศรีฯ สั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. ต.กะรน จ.ภูเก็ต ที่ตั้งคอนโดฯ ‘เดอะ พีค เรสซิเดนท์’ ชี้กระบวนการออกหนังสือรับรองทำประโยชน์มิชอบด้วยกฎหมาย
...........................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2563 ศาลปกครองนครศรีธรรมราช อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โดยพิพากษายืนตามศาลปกครองนครศรีธรรมราช (ศาลชั้นต้น) สั่งเพิกถอนเอกสารการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. ที่ตั้งของคอนโดมีเนียม ‘เดอะ พีค เรสซิเดน์’ ที่ก่อสร้างที่พักอาศัยบนเนินเขา ต.กะรน จ.ภูเก็ต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ดังกล่าวแล้ว
สำหรับคดีนี้มีนายสิกรณ์ ภูมิกำจร เป็นผู้ฟ้องคดี โดยเจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต เป็นผู้ถูกฟ้องคดี มีนายสุชาติ รักสงบ เป็นผู้ร้องสอด
ศาลปกครองสูงสุดตรวจพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดี กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว วินิจฉัยในประเด็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1863 ม.2 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต (เป็นที่ตั้งของคอนโดมีเนียม ‘เดอะ พีคฯ’ ดังกล่าว) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยศาลปกครองสูงสุดอ้างอิงคำพิพากษาศาลปกครองนครศรีธรรมราช เมื่อปี 2551 ที่ดินที่มีความลาดชันเกินร้อยละ 35 เป็นที่ดินที่มีการครอบครองทำประโยชน์ มาภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเชื่อได้ว่าที่ดินส่วนที่อยู่นอกความลาดชันเกินร้อยละ 35 เป็นที่ดินที่มีการครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ตามการวินิจฉัยของศาลปกครองนครศรีธรรมราชในคดีดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ดีขอให้ผู้ฟ้องคดี (นายสิกรณ์) ผู้ร้องสอด (นายเกษม) สืบหาพยานหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่สามารถยืนยันได้ว่า ผู้ขอออกหนังสือ น.ส. 3 ก. กับพวกได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อมาจากเจ้าของที่ดินเดิมก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยผู้ฟ้องคดีนำรายงานผลภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญศาลในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ สำนักงานศาลยุติธรรม ยื่นเป็นหลักฐานหักล้าง โดยรายงานดังกล่าวชี้ว่า ที่ดินแปลนี้มีสภาพการเข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อน พ.ศ. 2510 น่าเชื่อว่าได้ทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินบังคับใช้ ส่วนผู้ร้องสอดไม่ได้นำพยานหลักฐานใด ๆ มายืนยันเพื่อหักล้าง อย่างไรก็ตามกรมที่ดินเคยอ่านรายงานผลของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานศาลยุติธรรมดังกล่าวแล้ว ได้แปลความแตกต่างกันสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดีในการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ผู้ถูกฟ้องคดี (เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต) ออกคำสั่งทางปกครองใหม่กระทบถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการออกคำสั่งทางปกครองดังนั้น น.ส.3 ก. เลขที่ 1863 ดังกล่าว จึงไม่ได้ดำเนินการตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยในประเด็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต) ใช้ดุลพินิจออกหนังสือ น.ส.3 ก. โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในการพิจารณาคำขอออกหนังสือ น.ส.3 ก. เมื่อปี 2563 ประกอบคำพิพากษาศาลปกครองนครศรีธรรมราชเมื่อปี 2548 และคำพิพากษาศาลปกครองเมื่อปี 2551 สรุปได้ว่า พยานหลักฐานของผู้ฟ้องคดีที่อ้างผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานศาลยุติธรรม ที่นำมาหักล้างความเห็นของจังหวัดภูเก็ตที่ว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่นอกเขตความลาดชันเกินร้อยละ 35 ขณะที่ศาลปกครองนครศรีธรรมราชเมื่อปี 2551 ที่วินิจฉัยที่ดินแปลงดังกล่าวมาก่อน เคยพิพากษาแล้วว่า ที่ดินที่มีความลาดชันเกินร้อยละ 35 เป็นที่ดินที่มีการครอบครองทำประโยชน์มาภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเชื่อได้ว่าที่ดินส่วนที่อยู่นอกเขตความลาดชันเกินร้อยละ 35 เป็นที่ดินที่มีการครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับตามการวินิจฉัยของศาลปกครองนครศรีธรรมราชเมื่อปี 2551 เช่นเดียวกัน
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานผลการอ่านแปลตีความภาพถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:4,000 จังหวัดภูเก็ต ระวาง 4626 | 2262 พ.ศ. 2510 พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2538 ของกรมที่ดินปรากฏว่า บริเวณที่ดินแปลงพิพาท เป็นพื้นที่ป่าไม้ผลัดใบ (F1) และกรมที่ดินมีหนังสือเมื่อปี 2552 ยืนยันความเห็นเดิม
อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่ที่หักล้างผลการอ่านแปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศที่ดินดังกล่าว จึงน่าเชื่อว่า ที่ดินพิพาท ไม่มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ที่ดินพิพาทจึงต้องห้ามมิให้ออกหนังสือ น.ส.3 ก. เป็นการเฉพาะราย โดยไม่ได้แจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับฟังรายงานการผลอ่านแปล ตีความ และวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานศาลยุติธรรมแล้ว เชื่อว่าที่ดินพิพาท มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และออกหนังสือ น.ส. 3 ก.เลขที่ 1863 ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องสอด จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้ง ถือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หนังสือ น.ส.3 ก.เลขที่ 1863 ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก.ดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังนับจากวันที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล พิพากษายืน
ทั้งนี้ ผลจากการที่ ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ส่งผลทำให้เอกสารสิทธิในพื้นที่ก่อสร้างโครงการเดอะพีค เรสซิเดนซ์ เป็นเอกสารที่ได้มาโดยมิชอบ และต้องถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก ไปโดยปริยาย รวมไปถึงการยื่นอุทธรณ์ใบอนุญาตก่อสร้าง ก็ไม่ถูกต้อง เพราะขออนุญาตเป็นสร้างคอนโดฯ ที่พักอาศัย ซึ่งกฎหมายให้ใช้โฉนด ไม่ใช่ น.ส.3 ก. แต่เอกสารสิทธิที่มีเป็น น.ส.3
ขณะที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง ระบุว่า จะเดินหน้าตรวจสอบคนทำผิดต่อไป รวมถึงเทศบาลกะรนด้วยที่เป็นคนออกใบอนุญาตก่อสร้าง และคนที่ออกเอกสารสิทธิให้กับเดอะพีค โดยในเร็วๆ นี้จะเดินทางตรวจสอบที่ภูเก็ตอีกครั้ง และจะลงไปตรวจที่ดินบนเกาะสมุยต่อ (อ้างอิงข่าวส่วนนี้ จาก https://www.dailynews.co.th)
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/