'ทรัมป์'โทษหมออยากได้เงิน หลังชาวสหรัฐฯตายจากโควิดทะลุ 2.3 แสน สถาบันวอชิงตัวเผยยอดตายโควิดส่อถึง 3.9 แสนช่วง ก.พ.นี้ ชี้ใส่หน้ากากช่วยลดผู้เสียชีวิตได้กว่า 62,000 ราย-'ญี่ปุ่น'เล็งเปิดประเทศ 1 พ.ย. เผยไทยติดโผได้กลับเข้าไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วย แต่ต้องมีใบรับรองกักตัวจากบริษัทเคร่งครัด
----------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าหรือโควิด-19 ว่าเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่สหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้แถลงข่าวตอนหนึ่งระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่เมืองวอร์เตอร์ฟอร์ด รัฐมิชิแกน โดยกล่าวถึงกรณีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ที่มีมากกว่า 234,982 รายทั่วประเทศสหรัฐฯว่า “หมอของเราจะได้เงินมากว่า ถ้ามีใครสักคนตายจากโควิด คุณรู้เรื่องนั้น ถูกไหม ผมหมายถึงว่าหมอของประเทศเรานั้นถือว่าเป็นผู้ที่ฉลาดมาก”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศสหรัฐฯนั้นพบว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อย 625 ราย
ส่วนสถานการณ์อื่นๆในสหรัฐฯมีรายงานว่าทงสถาบันวัดและประเมินภาวะด้านสาธารณสุขสหรัฐอเมริกาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ว่าในวันที่ 1 ก.พ. 2564 สหรัฐฯจะมีผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 399,000 ราย ซึ่งการประเมินตัวเลขดังกล่าวนั้นเพิ่มขึ้นจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึง 15,000 ราย และได้มีการประเมินตัวเลขเพิ่มเติมว่าในกลางเดือน ม.ค. 2564 จะมีผู้เสียชีวิตรายวันจากไวรัสโควิด-19 สูงถึง 2,250 ราย ซึ่งมากกว่าอัตราการเสียชีวิตในปัจจุบันถึง 3 เท่า และถ้าหากรัฐบาลยังไม่ทำอะไรเกี่ยวกับตัวเลขดังกล่าว ในช่วงเวลานี้ของปี 2564 สหรัฐฯ อาจจะมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 514,000 ราย
สถาบันฯรายงานต่อไปว่าถ้าหากในแต่ละรัฐได้ดำเนินการใช้นโยบายการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือกระตุ้นให้ประชาชนในรัฐใช้หน้ากากได้ ก็จะลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าถ้าหากมีการใส่หน้ากากจะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวันที่ 1 ก.พ.ได้ถึง 62,000 ราย
ส่วนสถานการณ์อื่นๆทั่วโลกนั้นมีรายงานว่าที่ประเทศบราซิลได้มีการยืนยันออกมาจากนายแฮมิลตัน เมาโร รองประธานาธิบดีบราซิลว่าประเทศบราซิลจะซื้อวัคซีนจากบริษัทซีโน่แว็ค ประเทศจีนแน่นอน หลังจากที่ก่อนหน้านี้นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ซึ่งเป็นผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ประเทศจีนมาอย่างยาวนานได้ออกมาสื่อสารว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะไม่ซื้อวัคซีนจากประเทศจีน
ขณะที่ในยุโรปนั้นรัฐสภาประเทศเชคก็ได้เห็นชอบให้มีการขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อรับมือกับผู้ติดเชื้อซึ่งเพิ่มขึ้น 6,770 รายต่อวัน ส่วนที่ฝรั่งเศสซึ่งมีผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่า 49,000 ราย จึงทำให้นายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ตัดสินใจที่จะประกาศมาตรการปิดเมืองนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. ไปจนถึงสิ้นเดือน พ..เพื่อควบคุมการระบาด อย่างไรก็ตามการประกาศมาตรการปิดเมืองดังกล่าวก็ทำให้ในช่วงเย็นของวันที่ 30 ต.ค. ชาวกรุงปารีสพากันเดินทางออกนอกเมืองเพื่อหลบไปหนีจากมาตรการปิดเมืองเพื่อไปอยู่ที่อื่น จนส่งผลให้รถติดยาวสะสมเป็นระยะทางกว่า 700 กิโลเมตรในภูมิภาค Ile-de-France
ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานว่านับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป ประเทศญี่ปุ่นจะลดมาตรการการห้ามเข้าประเทศสำหรับผู้ที่เดินทางด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจซึ่งมาจาก 9 ประเทศ ได้แก่ประเทศไทย ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศบรูไน ประเทศเวียดนาม และประเทศสิงคโปร์
โดยผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้นั้นจะต้องมีใบรับรองจากบริษัทหรือหน่วยงานเพื่อยืนยันความรับผิดชอบในการกักตัวตามมาตรการป้องกันไวรัส ผู้เดินทางจะต้องงดจากการเดินทางไปต่างประเทศอื่นๆเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยไม่นับรวมกับช่วงเวลากักตัวที่ประเทศนั้นๆ และจะต้องมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ และเมื่อเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้แล้ว ผู้ที่มาถึงจะไม่สามารถใช้ระบบขนส่งของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นระยะเวลา 14 วัน และจะต้องมีการบันทึกข้อมูลจีพีเอสในโทรศัพท์เพื่อใช้สำหรับการตามตัวว่าได้ไปพบปะกับใครบ้าง
เรียบเรียงจาก:https://www.theguardian.com/world/coronavirus-outbreak,https://mainichi.jp/english
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/