ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ! จำคุก ‘ธาริต-พวก’ รายละ 2 ปี ปมให้ดีเอสไอดำเนินคดี ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ สลายชุมนุม นปช.ปี 53 เหตุไม่มีอำนาจ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เชื่อว่าทำไปเพื่อเอาใจ รบ. มีผลในการต่ออายุราชการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2563 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.310/2556 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200
โดยวันนี้นายธาริต และจำเลยรวม 4 ราย มาศาล ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีความเห็นควรแจ้งข้อหาโจทก์ 1-2 ในความผิดฐานฆ่าเล็งเห็นผลจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 จำเลยทั้ง 4 ราย มีความเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นความผิดตามกฎหมาย จึงแจ้งข้อหาก่อการร้าย แสดงว่าจำเลยที่ 1-4 เห็นว่า โจทก์ที่ 1-2 กระทำไปตามหน้าที่ แม้ภายหลังการไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง ศาลอาญาจะชี้ว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร แต่ไม่ได้ระบุว่า การกระทำของโจทก์ทั้ง 2 รายเป็นความผิด
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ประกอบกัน ฟังได้ว่า การที่จำเลยทั้ง 4 ราย มีความเห็นต่างจากเดิม เชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้ง 2 ราย เพื่อเอาใจรัฐบาล มีผลในการต่ออายุตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ การที่จำเลยทั้ง 4 สืบสวนสอบสวนโจทก์ พร้อมแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย โดยเล็งเห็นผล ทั้งที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การกระทำจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ราย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง การกระทำเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่หนักสุดตามมาตรา 200 วรรคสอง จำคุกจำเลยทั้ง 4 ราย รายละ 4 ปี คำเบิกความเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก จำเลยรายละ 2 ปี
อย่างไรก็ดีนายธาริต และจำเลยรวม 4 ราย ได้ยื่นฎีกา และขอประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า กรณีเมื่อเดือน ก.ค. 2554 - 13 ธ.ค. 2555 ดีเอสไอได้สรุปสำนวนดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่ง ศอฉ. ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ชุมนุมเพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งโจทก์เห็นว่าการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง โดย นปช.ก่อความไม่สงบ ก่อการร้าย โจทก์ได้มอบนโยบายชัดเจนว่าให้สลายการชุมนุมโดยหลีกเลี่ยงความสูญเสีย เพื่อระงับความเสียหายของบ้านเมือง โจทก์ไม่ต้องรับผิด เมื่อการชุมนุมยุติลง ดีเอสไอก็ได้สอบสวนดำเนินคดีแกนนำและชายชุดดำข้อหาก่อการร้ายด้วย ต่อมานายธาริต จำเลยที่ 1 ยอมตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จำเลยทั้งสี่จึงร่วมกันแจ้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน กลั่นแกล้งโจทก์สนองความต้องการของรัฐบาล ซึ่งดีเอสไอไม่มีอำนาจ เพราะโจทก์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องเป็นการวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ต่อมา เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2561 ศาลอาญา ยกฟ้องจำเลย 4 ราย โดยเห็นว่าพยานที่โจทก์ที่นำสืบมานั้น ไม่เห็นว่าจำเลยที่ 1 จงใจกลั่นแกล้งโจทก์อย่างไรในการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งทำในรูปของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ มีจำเลยที่ 2-4 และอัยการเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน โดยแต่งตั้งขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง คณะกรรมการไม่มีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ต้องส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อ จำเลยทั้งสี่เป็นพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกับอัยการที่ร่วมสอบ จึงไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนหลักฐานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อมและความเห็นทางกฎหมาย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/