ศาล ปค.กลางพิพากษา สำนักงาน กกต.ชดใช้ 'ภุชงค์' 2 ล้านบาท ปมปลดออกจากตำแหน่งเลขาฯกกต.เมื่อปี 2558 ไม่เป็นธรรม ชี้สอดไส้หลักเกณฑ์ประเมินผลงานจากสัญญาว่าจ้าง 5 ปีไม่ถูกต้อง
สำนักข่าวอิศรา www.israenews.org รายงานว่าเมื่อวันที่ 13 ส.ค. เมื่อเวลา 13.30 นาฬิกา ที่ห้องพิจารณาคดี 6 ศาลปกครองกลาง ได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ บ. 49/2559 หมายเลขแดงที่ บ.230/2562 ระหว่างนายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ฟ้องคดี กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 2 ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดี
โดยศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ใช้เงินให้แก่ผู้ฟ้องคดี (นายภุชงค์ )จำนวน 2,010,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด กับให้คืนค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนตามส่วนของการชนะคดีให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สำหรับรายละเอียดของคดีนั้น นายภุชงค์ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดี ระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2560 ซึ่งกำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทุกปีงบประมาณ (วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 30 กันยายน ของปีถัดไป) ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีประกาศ กกต. ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2558 เลิกจ้างผู้ฟ้องคดีและให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ กกต
โดย กกต.ให้เหตุผลเลิกจ้างว่าผู้ฟ้องคดีมีผลการประเมินการปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี โดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนประกาศ กกต. เรื่อง ให้เลขาธิการ กกต. พ้นจากตำแหน่ง ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2558 และมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศ กกต. ดังกล่าว รวมทั้งให้สำนักงาน กกต. ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าจ้างและค่าตอบแทนที่ผู้ฟ้องคดีเคยได้รับ และค่าเสียหายต่อชื่อเสียงให้แก่ผู้ฟ้องคดี จำนวน 7,060,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลมีคำสั่งไม่รับคำขอทุเลาคำบังคับตามประกาศ กกต. เรื่อง ให้เลขาธิการ กกต. พ้นจากตำแหน่ง ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2558
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กกต. ชุดเดิม กำหนดแบบประเมิน 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เห็นชอบแล้ว ค่าคะแนน 70 คะแนน
ส่วนที่ 2 การประเมินผลการดำเนินงาน ตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือตามที่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มอบหมาย ค่าคะแนน 30 คะแนน รวม 100 คะแนน ต่อมา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานเพิ่มเติมจำนวน 9 โครงการ / กิจกรรม และดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์เชิงรุก โดยกำหนดแบบประเมินเป็น 4 หัวข้อหลัก คือ 1. การดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีตามที่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้ความเห็นชอบแล้ว หรือตามข้อที่มีบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมคะแนนร้อยละ 30 โดยพิจารณาตามโครงการ/กิจกรรมตามแผนปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 จำนวน 10 โครงการ/กิจกรรม
2. การดำเนินงานตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามที่กำหนดในบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซึ่งรวมโครงการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ค่าคะแนนร้อยละ 30
3. การบริหารตามหลักธรรมาภิบาล โดยพิจารณาจากพฤติกรรมค่าคะแนนร้อยละ 20
และ 4. งานท้าทาย เพื่อพัฒนาองค์กร ค่าคะแนนร้อยละ 20
ศาลเห็นว่า แม้การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง เป็นอำนาจของคู่สัญญาฝ่ายรัฐ แต่ข้อ 6.5 ของสัญญาจ้างกำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญานี้จะทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน และทำความตกลงร่วมกันเป็นหนังสือระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง
แต่ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับร่างบันทึกแก้ไขสัญญาจ้าง และสงวนสิทธิไม่ยอมรับการประเมิน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 25/2558 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ว่าให้ถือปฏิบัติตามสัญญาเดิมโดยเคร่งครัด และให้ผู้ฟ้องคดีรายงานผลการปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในคราวเดียวกัน จึงรับฟังได้ว่า ยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างตามที่กำหนดในข้อ 6.5 ของสัญญาจ้าง
ดังนั้น การที่คณะอนุกรรมการเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานได้นำแบบประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การประเมินขึ้นใหม่ในสาระสำคัญแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในสัญญาเดิม และเป็นการเพิ่มเติมแบบการประเมินมาใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานผู้ฟ้องคดีปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 มาแล้ว 6 เดือน จึงเป็นการประเมินการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นไปตามสัญญาจ้าง ข้อ 4.2
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ต่อไปว่า คณะอนุกรรมการเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดี ในการประชุมครั้งที่ 21/2558 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 เห็นว่า การดำเนินงานตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามสัญญาข้อ 4.2 ซึ่งมีสัดส่วนคะแนนตามแบบการประเมินผลร้อยละ 60 ในส่วนนี้ผู้ฟ้องคดีผ่านการประเมิน แต่เกณฑ์การประเมินด้านการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและงานท้าทายซึ่งเป็นเกณฑ์การประเมินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพิ่มขึ้นมาใหม่ และมีสัดส่วนคะแนนถึงร้อยละ 40 โดยในส่วนของงานท้าทายจำนวน 5 โครงการ ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มอบหมายให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติเพิ่มเติมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และมีคะแนนสัดส่วนร้อยละ 20 ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับคะแนน จึงเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีมีคะแนนรวมของการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า การที่คณะอนุกรรมการนำหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพิ่มขึ้นใหม่ โดยมิได้แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างมาใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีจึงไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี และไม่ชอบด้วยเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ตามข้อ 4.2 และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติเลิกจ้างผู้ฟ้องคดี โดยมีเหตุผลว่า ผลการประเมินการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ไม่ผ่านการประเมินตามความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าว และมีประกาศ กกต. เรื่อง ให้เลขาธิการ กกต. พ้นจากตำแหน่ง ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2558 จึงเป็นการเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีก่อนครบกำหนดสัญญาจ้างที่ไม่ชอบด้วยสัญญาจ้าง โดยไม่จำต้องเพิกถอนประกาศ กกต. ดังกล่าว ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากมีผลเป็นเพียงการบอกเลิกจ้างเป็นหนังสือ
ส่วนของคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ให้สำนักงาน กกต. ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าจ้างและประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติยศ จำนวน 7,060,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลเห็นว่า การใช้สิทธิเรียกร้องความเสียหายต่อสิทธิที่ผู้ฟ้องคดีเคยได้รับเป็นเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามสัญญาจ้างพิพาท ซึ่งเป็นการคิดคำนวณจากระยะเวลาที่ถูกบอกเลิกจ้างก่อนครบกำหนดสัญญาจ้าง จำนวน 13 เดือน อันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องความเสียหายต่อสิทธิที่ผู้ฟ้องคดีเคยได้รับตามสัญญาจ้างและถือเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการเลิกจ้าง
ศาลปกครองกลางจึงได้คำพิพากษาให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จ่ายเงินชดใช้เป็นจำนวน 2,010,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กับผู้ห้องคดี
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/