
ครม.มีมติส่งคำถามประชามติแก้รัฐธรรมนูญคำถามเดียว ‘อนุทิน-บวรศักดิ์’ประสานเสียงควรทำพร้อมกับวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 เผยคำถามของรัฐสภาไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกรงจะเกิดปัญหาได้ ปัด ‘กฤษฎีกา’ เห็นแย้งครม.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 18 ธ.ค. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบคำถามประชามติ ซึ่งเป็นคำถามของครม. และส่งไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นไปตามความเห็นที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ให้ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งการนำเข้าที่ประชุมครม.วันนี้ เพื่อให้ได้มติที่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า นายบวรศักดิ์ระบุว่าหากรัฐสภาเลือกคำถามประชามติของพรรคภูมิใจไทย จะไม่ทำให้เกิดปัญหาจนต้องมาประชุมครม.อีกครั้งในวันนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า คำถามคล้ายๆกัน เพียงแต่วันนี้ต้องการทำให้ถูกต้องตามคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญ หากส่งไปไม่ถูกต้องจะเกิดปัญหาเรื่องการตีความ และหากประชาชนลงมติไปแล้วเกิดปัญหาจะต้องลงมติใหม่อีก ซึ่งขณะนี้เรามีเวลามากเพียงพอที่จะดำเนินการให้ถูกต้อง และมีการรับรองจากทุกฝ่าย
เมื่อถามอีกว่า การทำประชามติจะทำพร้อมกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวันที่ 8 ก.พ. 2569 ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ กกต. แต่ถ้าถามครม. ก็อยากให้ทำพร้อมกับวันเลือกตั้ง เพราะมีเหตุผลเรื่องความสะดวก และประหยัดงบประมาณ เท่าที่ฟังมาคือประมาณ 4,000 ล้านบาท จึงไม่อยากเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ
เมื่อถามว่า ในส่วนของการทำประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU43) และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (MOU44) ซึ่งไม่สามารถกระทำได้แล้วนั้น พรรคภูมิใจไทยจะทำเป็นนโยบายหาเสียงในเรื่องนี้แทนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะพรรคชัดเจนเรื่องนี้อยู่แล้ว
@ยึดคำถามประชามติของครม. ของรัฐสภาไม่เป็นไปตามที่ศาลรธน.วินิจฉัย
ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมครม.นัดพิเศษ ซึ่งมีวาระพิจารณาให้ ครม.เห็นชอบการเลือกส่งคำถามประชามติ ระหว่างคำถามของรัฐสภาและคำถามของ ครม. ภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีกลับให้เลือกเพียงคำถามเดียวนั้น มีสาเหตุมาจากเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ครม.ได้ส่งคำถามไปให้ กกต.2 คำถาม เนื่องจากมีการอภิปรายในที่ประชุม ครม. เพราะในส่วนของ ครม. เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ จึงต้องรักษาสัจจะ และตั้งคำถามที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประชามติ แต่คำถามที่รัฐสภาส่งมา ไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) 2568 เพราะฉะนั้นเมื่อ กกต.ต้องการให้ ครม.เลือกเพียงคำถามเดียว ก็ต้องเลือกคำถามของ ครม. จึงไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติที่ ครม.เลือกแบบนี้ แต่ที่ส่งคำถามของรัฐสภาไปตอนแรก ก็เพื่อให้เกียรติว่าเราเคารพมติของรัฐสภา ไม่ส่งไม่ได้ แต่ถ้าส่งคำถามของรัฐสภาเป็นคำถามเดียว แล้ว กกต.บอกว่าทำไม่ได้ จะเป็นเรื่องใหญ่ จึงเป็นเหตุให้ ครม.ต้องส่งคำถามประกบ
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนที่มีนักวิชาการมาตำหนิว่า ไม่สามารถทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้งได้ เนื่องจากระยะเวลาไม่ถึง 60 วันตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) 2568 กำหนดนั้น คนที่พูดไม่ใช่นักกฎหมาย คงจะอ่านกฎหมายประชามติ มาตรา 11 วรรค 3 ตอนท้ายข้ามไป หากมีเหตุจำเป็นเรื่องงบประมาณและเหตุผลอื่น ครม.สามารถกำหนดวันประชามติให้เร็วกว่านั้นได้ เพราะหากจัดการเลือกตั้งแยกกับการทำประชามติ จะเสียงบประมาณเพิ่ม 4,000 ล้านบาท และประชาชนก็ต้องใช้สิทธิ์สองครั้ง หากไม่ไปครั้งใดครั้งหนึ่ง ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมถึง กกต.ก็ต้องเสียบุคลากรไปจัดงานทั้งสองครั้ง จึงไม่ใช่เหตุที่ไปทำความวุ่นวาย
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า หาก ครม.เห็นชอบ คำถามประชามติของ ครม. ก็จะต้องส่งเรื่องไปให้ กกต. และ กกต.ต้องออกประกาศเกี่ยวกับการทำประชามติภายใน 15 วัน หรือวันที่ 2 ม.ค. 69 เพื่อให้สามารถทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง ในวันที่ 8 ก.พ. 69
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกฤษฎีกา เคยแย้งว่าการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ต้องใช้คำถามจากรัฐสภาเท่านั้น นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า กฤษฎีกาไม่เคยแย้งอย่างนั้น นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เห็นตรงกันว่าต้องส่งสองคำถาม เพราะหากส่งคำถามของ ครม.เพียงคำถามเดียว ก็จะหาว่า ครม.ไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภา เพราะ ครม.รู้อยู่แล้วว่าหากส่งคำถามของรัฐสภาไป ก็จะต่อขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประชามติ
เมื่อถามอีกว่า ขยายความได้หรือไม่ว่าทำไมคำถามของรัฐสภาถึงขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายประชามติ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า คำถามของรัฐสภาเป็นคำถามของนายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่า “เห็นด้วยหรือไม่กับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “เห็นชอบ“ว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่“ และคำตามกฎหมายประชามติ มาตรา 11 และมาตรา 16 ก็ใช้คำว่า “เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ”
“แต่ก็น่าเห็นใจรัฐสภา ไปโทษรัฐสภาก็ไม่ได้ เพราะวันนั้นพูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และอภิปรายก็ถึงดึก และเมื่อญัตติเกี่ยวกับคำถามประชามติเสนอขึ้นมา ก็เลยเลือกคำถามของนายชูศักดิ์วันนั้น ถ้าเลือกคำถามของพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย และ ครม. ก็ไม่ต้องส่งคำถามไปประกบ เพราะคำถามที่นายกฯ เซ็นไป คือใช้คำว่าเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” นายบวรศักดิ์ กล่าว
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ คำถามของรัฐสภายังมีปัญหา เมื่อไปดูกฎหมายประชามติมาตรา 11 วรรคหนึ่งบอกว่าให้ประธานรัฐสภา ส่งคำถามของแต่ละสภา แปลว่า อาจจะต้องมีการประชุมแยกกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และคำถามที่รัฐสภาส่งมา ไม่ใช่คำถามของแต่ละสภา ซึ่งก่อนหน้านี้ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยอภิปรายในสภาว่า คำถามของรัฐสภาจะมีปัญหา เพราะต้องเป็นคำถามของแต่ละสภา เมื่อมีปัญหาหลายเรื่อง ทั้งตัวคำถามและตัวมติ แต่ที่ส่งคำถามไป ก็เพื่อให้เกียรติรัฐสภา ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ก็มีความเห็นตามแนวทางของตนที่กล่าวมาด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา