‘ก.ล.ต.’ เตรียมแก้กฎหมายสกัด ‘เงินสกปรก’ ไหลเข้าซื้อ ‘หุ้น-สินทรัพย์ดิจิทัล’ ในประเทศไทย พร้อมระดับการตรวจสอบ ‘ผู้ถือหุ้นที่แท้จริง’ ในบริษัทจดทะเบียนฯ
...................................
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้บริหาร ก.ล.ต. ได้หารือกับนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และผู้บริหาร ปปง. เพื่อติดตามและประสานความร่วมมือเกี่ยวกับการยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ‘สแกมเมอร์’ โดย ปปง. ได้มอบข้อมูลตามที่ ก.ล.ต. ร้องขอ
ทั้งนี้ ในการหารือระหว่าง ก.ล.ต. และ ปปง. ดังกล่าว ทั้ง 2 ฝ่าย ได้หารือเกี่ยวกับการเร่งรัดผลักดันในเรื่องการปรับปรุงกฎหมายและกฎเกณฑ์ เพื่อยกระดับการมีเครื่องมือในการตรวจสอบการทำธุรกรรมและการตรวจสอบเส้นทางเงินผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่ทำหน้าที่ตัวกลาง (travel rule) การตรวจสอบผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate-beneficiary) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการจัดโครงสร้างในเชิงธุรกิจที่ซับซ้อน
ตลอดจนการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (KYC/CDD) เพื่อประโยชน์ของ ก.ล.ต. ในการตรวจสอบการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการครอบงำกิจการ และ ปปง. ในการตรวจสอบความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการดำเนินการด้านต่างๆ ระหว่างทั้ง 2 หน่วยงาน
นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการตรวจสอบการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงกรณีเครือข่ายสแกมเมอร์ในครั้งนี้ คงไม่มีใครอยากทำช้า แต่การตรวจสอบต้องรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอ รอบด้าน ซึ่ง ก.ล.ต.ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีขั้นตอนในการรวบรวมข้อเท็จจริงและคำชี้แจง เพราะในการดำเนินการทางอาญาหรือทางกฎหมายกับใครก็ตาม ต้องมีพยานหลักฐาน และทำตามขั้นตอนต่างๆให้ครบถ้วน
“เราไม่หนักใจว่า ถ้าไปถึงตรงไหน แล้วจะต้องทำอย่างไร เราทำตามหน้าที่ ถ้าเส้นไปถึงตรงไหน เราเอาหมด ถ้าพบการกระทำความผิด ตั้งเป้าว่าคงไม่ช้า แม้กระทั่งในส่วนต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้ง่าย เราก็ขอกันว่า ถ้าทำแล้วได้ส่วนไหน ก็ให้ทยอยส่งมาก่อน ตรงไหนทำได้ก่อน เราทำ เราพยายามเร่งรัดตรงนี้อยู่ ตามกระบวนการที่ควรจะเป็น” นายธวัชชัย กล่าว
นายธวัชชัย กล่าวถึงกรณีที่ ปปง. มีคำสั่งอายัดหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ BCP ที่ถือโดยบริษัท อัลฟ่าชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด ว่า ปปง.มีอำนาจที่จะอายัดหุ้นได้ระยะหนึ่ง ส่วนหน้าที่ของ ก.ล.ต. คือ การเข้าไปตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง นอกจากนี้ ก.ล.ต.จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนว่า ผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงหรือผู้ถือหุ้นตัวจริงเป็นใคร
“สิ่งที่เราทำมี 2 ส่วน อันแรก คือ ทำอย่างไรที่จะลดในส่วนนี้ เช่น การไปเริ่มจากฝั่งตัวกลาง เพื่อดูว่าผู้ลงทุนเป็นใคร ก็จะช่วยในส่วนนี้ได้ อีกส่วนหนึ่ง คือ การร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ซึ่งในอนาคตจะมีการแก้ไขกฎหมายบางฉบับ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการเปิดเผยตัวผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง คือ ผู้ถือหุ้นตัวจริง รวมถึงในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าพบการกระทำผิดก็ดำเนินการบังคับ แต่สิ่งที่เราอยากเห็น คือ การเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น” นายธวัชชัย กล่าว
ด้าน นางพรอนงค์ กล่าวว่า ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนฯนั้น คงไม่มีประเด็นอะไร แต่ในชั้นของผู้ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มีการซื้อหุ้นในตลาดตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น เชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์ และก.ล.ต. มีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นชั้นนำของโลก โดยผู้ถือหุ้นมีหน้าที่รายงานข้อมูล เช่น หากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และถือหุ้นเกิน 10% มีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูล ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด
“หากเขาไม่รายงาน เขาหลบเลี่ยง ถ้าเรามีหลักฐาน เราต้องเข้าไปสอบสวน ไปขอความร่วมมือ ไปเอาข้อมูลมา ถ้ามีหลักฐาน ผิด ก็ว่าไปตามผิด ถ้าผิดกรณีไม่ทำหน้าที่รายงาน ก็เอาผิดกรณีไม่ทำหน้าที่รายงาน แต่ถ้าผิดกรณีไม่ทำหน้าที่ทำเสนอซื้อ ก็ไปว่ากันที่ความผิดต่อหน้าที่การเสนอซื้อ ส่วนการป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบือน ในระยะสั้น คงต้องอยู่ที่ตัว gate keeper หรือตัวกลาง ที่ต้องทำหน้าที่ KYC ซึ่งต้องรู้ว่าตัวผู้ซื้อขายหุ้นเป็นใคร
แต่โลกตอนนี้ อาจต้องการให้ยกระดับขึ้น มีความคาดหวังต่อกฎหมายฟอกเงิน เช่น เขาไปทำผิดที่อื่น ไม่ได้ทำผิดในตลาดทุนเรา แต่เอาเงินสกปรก มาซื้อทรัพย์สินในไทยที่เราดูแลอยู่ คือ สินทรัพย์ในตลาดทุน สินทรัพย์ดิจิทัล ตลาดเรา ต้องไม่เอื้ออำนวยต่อเรื่องเหล่านี้ gate keeper และผู้ร่วมตลาด ก็ไม่อยากเอื้ออำนวยในเรื่องนี้ เมื่อเรามีเกณฑ์ มีแนวปฏิบัติ ถ้าไม่ทำ ก็ว่ากันไปตามผิด ส่วนเรื่องแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพจะเป็นเรื่องระยะยาว” นางพรอนงค์ ระบุ
ก่อนหน้านี้ ปปง.ได้ออกคำสั่งยึดอายัดทรัพย์นายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) นายก๊ก อาน (MR.KOK AN) นายยิม เลียก (MR. LEAK YIM) และนาย เบน สมิธ (MR. SMITH BEN) รวมถึงบุคคลในเครือข่ายของนายยิม เลียก และนายเบน สมิธ จำนวน 66 รายการ รวมราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ 9,279,322,501.38 บาท พร้อมดอกผล
เช่น เงินสดในบัญชีธนาคาร จำนวน 37 บัญชี เป็นเงินจำนวน 1,169,815,162.38 บาท , ที่ดินจำนวน 23 แปลง อาทิ ที่ดินมีชื่อ นางวิรินยา ยิมจ์ (ภรรยานายยิม เลียก) , นางสาวแคทรียา บีเวอร์ (ภรรยานาย เบน สมิธ นักธุรกิจต่างชาติ) , น.ส. สุภารัตน์ สง่าเมือง , บริษัท เจอ เอ็มไพร์ จำกัด (ออกใบอนุญาตจ้างงาน นายเบนสมิธ ในไทย) , บริษัท วชิรคม จำกัด , บริษัท นาใต้ บีชโฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท อีวาร่า พร็อบเพอตี้ จำกัด เป็นเจ้าของ
บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ จำนวน 6 บัญชี อาทิ หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ อยู่ในชื่อ บริษัท อัลฟ่าชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด ที่เข้าซื้อหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (BCP) วงเงินกว่า 5,885 ล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ปปง.ยังออกคำสั่งยึดทรัพย์สิน นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ และพวกเพิ่มเติม เป็นรถยนต์หรู จำนวน 3 รายการ ได้แก่ รถยนต์ ยี่ห้อ ZEEKR รุ่น ZEEKR 009 สีขาว ,รถยนต์ยี่ห้อ FERRARI รุ่น 488 สีแดง และ รถยนต์ ยี่ห้อ PORSCHE สีดำ ซึ่งอยู่ชื่อของ นางสาวสุภารัตน์ สง่าเมือง มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2568 ถึงวันที่ 1 มี.ค.2569

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา