
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี-รมว.มหาดไทย เป็นประธาน-สักขีพยานพิธีลงนามเอ็มโอยู ร่วมมือ 15 เครือข่าย ประกาศสงครามกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ลั่น ต้องชนะเท่านั้น ประเทศไทยต้องเป็นดินแดนต้องห้ามอาชญากรรมทุกรูปแบบ ขอให้มั่นใจ เคลียร์ไม่ได้-ไม่เกี๊ยะเซียะ-ลุยลูกเดียว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมี 15 เครือข่าย ร่วมลงนาม
นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยมีการรวมตัวกันประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ สงครามนี้เป็นสงครามที่เราต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนจากภัย Scammer ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศอยู่ทุกวัน เพราะเมื่อหนึ่งคนเป็นเหยื่อ ครอบครัวทั้งครอบครัวได้รับผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ คนจำนวนมากต้องประสบกับความทุกข์ร้อน และความเครียดอย่างแสนสาหัส ศักยภาพ ความเชื่อมั่น ชื่อเสียงของประเทศถูกบ่อนทำลายจากการกระทำของมิจฉาชีพ ชื่อเสียงประเทศต้องเสื่อมเสีย ภาพลักษณ์ถูกบั่นทอน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ความเสียหายที่ซ่อนอยู่จากภัยของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้ มีมากมายจนไม่สามารถประเมินค่าได้ คือ ภัยแห่งความมั่นคงอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลของผมได้ประกาศชัดเจนว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะต้องแก้ไข ป้องกันและปราบปรามให้สูญสิ้นไปจนได้

“ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รวมพลังกันมาลงนาม ในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ สิ่งที่ลงนามในวันนี้ไม่ใช่เป็นแต่เพียง เอกสาร แต่คือ อาวุธ ที่จะใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรอย่างเป็นระบบ เพราะนี่คือ วาระแห่งชาติ ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจ ร่วมกันของทั้งประเทศ”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าววว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งงบประมาณเทคโนโลยี และนโยบาย ทรัพยากรทุกสิ่ง เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งออนไลน์สแกมเมอร์ ให้เห็นผลจริงในระยะสั้นและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อประเทศไทยจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์และต้องทำให้เป็นดินแดนต้องห้ามของอาชญากรรมทุกรูปแบบ ประเทศไทยต้องปลอดภัยจากสแกมเมอร์ โดย MOU มีจุดประสงค์เพื่อเดินหน้าปฏิบัติการเชิงรุกใน 5 ด้านหลัก ดังนี้
1. บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
2. สร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรอง และการสืบสวน
3. ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันที ตัดเส้นทางการเงิน อาชญากรไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินอีกต่อไป
4. ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินและพฤติกรรมของมิจฉาชีพ เพื่อสกัดก่อนเกิดเหตุ
5. ที่สำคัญ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ส่งเสริมความรู้เท่าทัน และการแจ้งเบาะแส เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศ ระมัดระวังและช่วยกันเป็นหูเป็นตา และเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับสงครามป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยนี้ เป็นทีมไทยแลนด์ในสงครามครั้งนี้
นายอนุทินกล่าวว่า ภาพที่ปรากฎในวันนี้ น่าจะมีความชัดเจนว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นอันมาก ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญ เราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ เป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ผมคิดว่าภาพในวันนี้คงทำให้ปรากฎชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ไม่มีใครที่จะมีความอดทนต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำร้ายประเทศไทย

“ผมมั่นใจว่า พวกเราทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เป็นเพื่อนกันหมด เป็นพี่เป็นน้อง ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นเพียงสายงานเท่านั้น แต่ความรู้จัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน คือ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่และน้อง ที่เราสามารถแสวงหาความร่วมมือและสร้างพลัง ใช้โอกาสนี้ ใช้ความเป็นพี่น้อง หัวหน้ารัฐบาลเป็นเพื่อนรักกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นพี่ของอธิบดีดีเอสไอ เป็นพี่ของผู้ว่าแบงก์ชาติ เป็นเพื่อนร่วมงานของท่านปลัดกระทรวงหลายคน เป็นคนแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย เพราะฉะนั้น ผมจะไม่มีวันเกรงใจใครที่ตั้งใจที่จะมาทำร้ายประชาชนของผม ขอให้พี่น้องเกิดความมั่นใจ ผมรู้จักเพื่อน พี่ น้องของผมเหล่านี้ดี พวกเราจะไม่มีวันหมดหน้าที่ หรือ เกษียณอายุราชการไปแล้วบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า ขณะที่มีอำนาจ หน้าที่ ภารกิจอยู่ ไม่ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ปล่อยให้พี่น้องประชาชนมีความเดือดร้อน ตายตาไม่หลับ พวกเราทุกคนมาถึงจุดนี้ได้ต้องการทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศและได้ทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ ขอให้ความมั่นใจว่า เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีเกี๊ยะเซียะ เรื่องนี้มีแต่ลุยลูกเดียวเท่านั้น”นายอนุทินกล่าว
นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 15 เครือข่าย ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา