
วุฒิสภา นัด ประชุมลับ 28 ต.ค. 68 พิจารณาวาระ เรื่องด่วน รายงานผลเรื่องร้องเรียนจริยธรรม นันทนา นันทวโรภาส สว. – เปิดข้อบังคับประมวลจริยธรรม หากมีหลักฐานและข้อเท็จจริงอันควรเชื่อ ให้ว่ากล่าว-ตักเตือน-ตำหนิ คะแนนเสียงลงมติ ‘เกินกึ่งหนึ่ง’ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ‘ไม่น้อยกว่าสามในห้า’ – ประธานวุฒิสภา ส่ง ป.ป.ช. ด้าน นันทนา ทักท้วง กระบวนการตรวจสอบไม่ชอบ กรรมการจริยธรรม-คู่ขัดแย้งโดยตรง 15 คน นั่งกรรมการสอบ กลั่นแกล้งไม่ให้พยานคนสำคัญให้ปากคำ ไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 การประชุมวุฒิสภา มีระเบียบวาระการประชุม เรื่องด่วน รายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรมของน.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธาน สืบเนื่องจากกรณี น.ส.นันทนาได้กล่าวถึงเรื่อง “คนขายหมู” หลังจากนางแดง กองมา สว. ก ได้รับเลือกเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ขณะที่น.ส.นันทนา ไม่ได้รับเลือก เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2567
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นางแดง สว. กลุ่ม 10 ผู้ประกอบกิจการอื่น (อาชีพค้าขาย) ระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัคร (ไม่เกิน 5 บรรทัด) ว่า เริ่มขายหมูตั้งแต่ปี 2541 เป็นคนหนึ่งที่ร่วมพัฒนาตลาดสดเอกชนวิชิตสิน จนได้รับรางวัลระดับ 5 ดาว เมื่อก่อนขายหมูราคาถูกมาก หมูสามชั้น กก.ละ 45 บาท ทุกวันนี้ราคาหมูสามชั้น กก.ละ 150-180 บาท ต้นทุนสูงกำไรน้อยต่างจากเมื่อก่อน ได้กำไร กก.ละ 10 บาทเท่านกัน
ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 42 ที่ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้พิจารณาเสร็จแล้ว ให้รายงานต่อวุฒิสภา ในรายงานดังกล่าวคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาต้องสรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ พร้อมทั้งความเห็นว่าสมาชิกหรือกรรมาธิการผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับหรือไม่ อย่างไร ข้อใด และควรดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา โดยให้เป็นการประชุมลับ
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่ข้อ 43 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่วุฒิสภาเห็นว่า มีหลักฐานและข้อเท็จจริงอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกหรือกรรมาธิการผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ ให้วุฒิสภามีมติว่ากล่าวตักเตือน หรือ ตำหนิ
ข้อ 43 วรรคสอง ในกรณีที่วุฒิสภามีมติว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ อันเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป และแจ้งให้ที่ประชุมวุฒิสภาทราบ
ข้อ 43 วรรคสาม มติของวุฒิสภาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง (99 เสียง) ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ (198 เสียง) เว้นแต่มติของวุฒิสภาตามวรรคสอง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้า (118 เสียง) ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
@ 'นันทนา' โพสต์ ไม่เปิดโอกาสชี้แจง- กรรมการ 15 คน เป็น คู่ขัดแย้ง
ล่าสุด วันที่ 26 ต.ค.68 น.ส.นันทนา ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ปฏิบัติการ SLAPP เกิดขึ้นในวุฒิสภาแล้ว
วันที่ 28 ตุลาคมนี้ วุฒิสภาบรรจุวาระด่วนเรื่อง ให้มีการลงมติการร้องเรียนจริยธรรมของสว.นันทนา นันทวโรภาส เป็นการด่วน
สืบเนื่องมาจากในเดือนตุลาคม 2567 ได้มีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ว่าดิฉันมีพฤติกรรมที่ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพ เสียดสีด้อยค่า สว.ท่านหนึ่งในสภา ด้วยคำกล่าวที่ว่า
“ดิฉันถูกโหวตออกจากรรมาธิการพัฒนาการเมือง ได้คนขายหมูเข้ามาเป็นกรรมาธิการ .. ซึ่งตรงนี้ขอฟ้องประชาชน ว่ากระบวนการคัดสรรผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในกมธ. ไม่ได้คำนึงถึงฐานประวัติกลุ่มอาชีพของผู้สมัครเข้ามาเป็นสว. แต่ใช้เสียงข้างมากในการโหวต”
ซึ่งคณะกรรมการจริยธรรมประกอบไปด้วยสว.จำนวน 22 คน ในจำนวนนี้มีสว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีฮั้วสว.จำนวนทั้งสิ้นถึง 15 คน รวมทั้งพลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการด้วย ซึ่งดิฉันได้ร้องคัดค้านกรรมการทั้ง 15 คนนี้ เนื่องจากดิฉันได้ออกมาต่อสู้ให้สว.เหล่านี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และชะลอการลงมติเพื่อเลือกองค์กรอิสระ จึงถือว่าเป็น “คู่ขัดแย้ง” โดยตรง ย่อมไม่อาจมาทำหน้าที่วินิจฉัยคดีนี้ได้
แต่คณะกรรมการชุดนี้ก็ยังดึงดันที่จะสอบสวนต่อ โดยทุกอย่างดำเนินการโดย “ลับ” และยังกลั่นแกล้งมิให้นำพยานคนสำคัญ ได้แก่ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว ดร.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ และทนายอนันตชัย ไชยเดชเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการ ทั้งที่ได้มีหนังสือนัดหมายไว้แล้ว
"จึงถือว่ากระบวนการสอบสวนจริยธรรมนี้ “มิชอบ” ทั้งตัวคณะกรรมการ 15 คนที่เป็น “คู่ขัดแย้ง” กับดิฉัน และกระบวนการสอบสวนที่ปิดลับ ไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงอย่างโปร่งใส เป็นการ “ปิดประตูตีแมว” รวบรัดลงมติกันโดยอคติ กลั่นแกล้ง เพื่อต้องการให้ดิฉันพ้นจากตำแหน่ง สว."
การนำมติกล่าวโทษดิฉันเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภานี้ กำหนดให้เป็นการประชุมลับตามข้อบังคับที่ 42 ซึ่งประชาชนจะไม่ได้รับรู้ข้อมูลใดๆเลย และในที่สุดก็จะมีการลงมติ ตามข้อบังคับที่ 43 วรรคสอง โดยใช้เสียงสว. สามในห้า หรือ 120 เสียง เพื่อส่งให้ปปช.ดำเนินคดีต่อไป
นี่คือการฟ้อง “ปิดปาก” มิให้ดิฉันออกมาเปิดโปง กระบวนการ “ฮั้วสว” และมิให้ “ยับยั้ง” การลงมติเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระอีกต่อไป
หากดิฉันถูกบดขยี้เช่นนี้ได้ ก็จะเป็นกรณีตัวอย่าง มิให้สว.อิสระอื่นๆขัดขืน ต่อสว.สีน้ำเงิน และต้องยอมจำนนต่อการ “กินรวบ” ในวุฒิสภาตลอด 5 ปีนี้
นี่คือกระบวนการ “ปิดหูปิดตาประชาชน” เป็นขบวนการ “กินรวบประเทศไทย” ที่จะเป็นหายนะของประเทศอย่างใหญ่หลวง หากอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ องค์กรอิสระ ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว
ด้วยความกล้าหาญ และยึดมั่นในอุดมการณ์ ดิฉันเชื่อว่า เสียงเล็กๆ ในฐานะสว.ของดิฉัน จะสามารถพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนได้ เพราะดิฉันจะเปิดโปงความฉ้อฉลทั้งปวง ที่เกิดขึ้นกับประเทศนี้ ขอประชาชนร่วมเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ต่อสู้กับความบิดเบี้ยวนี้ไปด้วยกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา