
'พัฒนา'ชี้ระบบ สปสช.ดีอยู่แล้ว แต่อาจข้อจำกัดบางอย่าง หลังบุคลากรสาธารณสุขถือป้ายแสดงสัญลักษณ์ เผยผลถกแก้งบรักษาไม่พอ มีมติเชิงสร้างสรรค์ ทำงานร่วมกันได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ประเด็นข้อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ถึงทางออกงบบัตรทอง ว่า เป็นการหารือด้วยดี ทิศทางดี ความรู้สึกที่ต้องการรักษาคุณภาพเป็นไปในลักษณะเดียวกัน หลังจากนั้นก็จะทำงานเชิงรายละเอียดเข้มข้นมากขึ้น โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการดูแลรักษาร่วมกัน ซึ่งรายละเอียดจะมีทยอยออกมาให้ทราบต่อไป ขณะนี้มีข้อตกลงร่วมกันว่า จะพูดไปพร้อมๆ กัน และพูดไปในทิศทางเดียวกัน ถือว่าโดยรวมเป็นบรรยากาศที่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมร่วมเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 มีการพูดคุยเรื่องการปฏิรูป สปสช. ด้วยหรือไม่ เนื่องจากบุคลากรสาธารณสุขออกมาแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ถือป้าย 'กู้วิกฤติโรงพยาบาล ต้องปฏิรูป สปสช.' นายพัฒนา กล่าวว่า ปฏิรูปอะไร ระบบหรืออะไร จริงๆแล้ว บางทีระบบอาจจะดีอยู่แล้ว แต่อาจมีข้อจำกัด หรือเป็นเพราะไม่ได้คุยกันหรือไม่
“ยกตัวอย่าง เห็นของแบบหนึ่งออกมาแต่ไม่ได้ดั่งใจเรา และเพอร์ฟอร์มไม่ค่อยดี แต่จริงๆ ระบบอาจดีอยู่แล้ว แต่การปฏิบัติงานบางอย่างอาจติดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องแก้พวกนี้หน่อย ส่วนเรื่องระบบ หากเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างจริงๆ ก็มาว่ากันได้ เราจะไม่ทำงานแบบเก็บปิด หรือหมกเม็ดปัญหา เราเอาปัญหามากาง หาทางออกด้วยความโปร่งใส” นายพัฒนา กล่าว
นายพัฒนา กล่าวถึงกรณียังไม่เสนของบประมาณกลาง 8 พันล้านบาท เข้า ครม. ว่า งบกลาง มีการคุยกันอยู่ในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ถ้ามีมติ ครม. ออกมาก็คงจบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเย็นวันที่ 21 ต.ค. นายพัฒนา ได้รือร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไข กับ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นายพัฒนา กล่าวว่า ทุกฝ่ายมีเจตนาตรงกันคือเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน และต้องการให้ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยเดินหน้าไปได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สิ่งที่ทำมาทั้งหมดของ สธ. และ สปสช. นั้น ถือเป็นเรื่องดีที่ควรรักษาไว้ แต่เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง จึงต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ วัยทำงานลดลง เป็นต้น โดยที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่างบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรสะท้อนภาระจริงที่เพิ่มขึ้น
นายพัฒนา กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นงบผู้ป่วยในที่ไม่เพียงพอนั้น สาเหตุหนึ่งคือมีการบริการผู้ป่วยมากกว่าที่ สปสช. คาดการณ์ไว้ จึงทำให้งบประมาณที่เตรียมไว้ไม่เพียงพอ ซึ่งจากการหารือได้ข้อสรุปว่า ทั้ง 2 หน่วยงานต้องมีกลไกหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องและต้องทราบข้อมูลเท่าๆ กัน โดยจะมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับโรงพยาบาล เพื่อให้ทราบข้อมูลเรื่องงบประมาณ แนวทางการบริหาร และการดำเนินการ กรณีที่ให้บริการรักษาผู้ป่วยไปแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ
นายพัฒนา กล่าวอีกว่า มองว่าสิทธิบัตรทองหรือ 30 บาทรักษาทุกที่นั้น เป็นหลักประกันสุขภาพของคนไทย เป็น Safety Net หรือตาข่ายความปลอดภัยที่รองรับด้านสุขภาพของประชาชนไว้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะต้องการทำให้ระบบดีขึ้นและยั่งยืน บรรยากาศการหารือจึงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งหลังจากนี้ทั้ง 2 หน่วยงาน จะหารือแนวทางการบริหารงบปี 2569 และเตรียมเสนอของบประมาณในปี 2570 ร่วมกันต่อไป ส่วนงบประมาณปี 2568 ที่ของบกลางเพิ่มเติมในส่วนที่ไม่เพียงพอนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ ครม.
ด้าน นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 หลังจากนี้ สธ. และ สปสช. จะทำงานกันอย่างใกล้ชิด ต้องรู้ข้อมูลเท่าๆ กัน โดยช่วงต้นปีงบประมาณ จะมีการตกลงกับโรงพยาบาลเรื่องงบประมาณที่ได้รับ แนวทางการบริหารจัดการงบประมาณที่เป็นแบบปลายปิด เพื่อดูต้นทุนและประสิทธิผลของบริการ ซึ่งหลักๆ จะแยกเป็น 4 กองทุนย่อย คือ กองทุนผู้ป่วยนอก (OP) กองทุนผู้ป่วยใน (IP) กองทุนสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) และกองทุนบริการกรณีเฉพาะ (CR) โดยในส่วนของการบริหารเป็นงบประมาณปลายปิดของแต่ละกองทุนอย่างแท้จริง
นพ.สมฤกษ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของงบประมาณผู้ป่วยใน ที่มีประเด็นทุกปีว่าไม่พอนั้น ในปีงบประมาณ 2569 สธ. และ สปสช. จะระบุตัวเลขค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ เพื่อให้ทุกโรงพยาบาลได้รับทราบอัตราพื้นฐาน และ สปสช. ดำเนินการจ่ายตามนั้น เมื่อใกล้ปิดปีงบประมาณ หากงบประมาณเหลือไม่พอจ่ายตามอัตราที่ตกลงไว้ ให้แจ้งโรงพยาบาลทราบข้อมูล และแนวทางที่จะเพิ่มเติมงบประมาณให้เพียงพอ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ในปีงบประมาณถัดไป สปสช. มีข้อมูลการให้บริการที่ชัดเจน และใช้เป็นฐานในการของบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้โรงพยาบาลบริการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช. ขอขอบคุณ รมว.สาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ถึงข้อเสนอแนะการทำงานร่วมกัน ในส่วนของ สปสช. นั้น เรายอมรับว่าการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ผ่านมามีปัญหาจริง และอาจจะมีหลายด้านด้วย
นพ.จเด็จ ระบุว่า ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะจากความร่วมมือกับ สธ. และภาคส่วนอื่นๆ เพื่อบริหารจัดการร่วมกัน โดยในการบริหารงบประมาณปี 2569 นี้ ต่อไปจะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะงบผู้ป่วยใน หากการให้บริการเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะมีการจัดการอย่างไร รวมถึงการปรับระบบให้บริหารอย่างมีส่วนร่วมมากขึ้น โปร่งใสและตรวจสอบได้ และจะมีการจัดทำข้อมูลเชิงหลักฐานที่ได้จากการให้บริการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบในการจัดทำคำของบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปีงบประมาณ 2570 ที่สะท้อนต้นทุนและประสิทธิผลของการให้บริการต่อไปด้วย
“สำหรับงบผู้ป่วยในปี 2568 นั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว สปสช. จะนำเข้าสู่บอร์ด สปสช. เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดสรรต่อไป ในส่วนของการโอนงบประมาณให้กับโรงพยาบาลนั้น ในช่วงนี้เป็นช่วงของการปิดปีงบประมาณ สปสช. ได้โอนให้โรงพยาบาลตามรอบปกติ และจะมีการสื่อสารตรงให้โรงพยาบาลได้รับทราบในแต่ละรายการต่อไปด้วย” นายจเด็จ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา