
2 โปรเจ็กต์ EEC ยังนิ่ง ‘ซี.พี.’เห็นแย้งอัยการฯหลังคอมเมนท์สัญญาใหม่ไฮสปีด 18 ประเด็นกรณีการวางหลักประกัน รอผู้ว่ารถไฟใหม่ส่ง ขณะที่สนามบินอู่ตะเภา รับเงื่อนไข UTA ลดไซส์เทอร์มินัลใหม่ลงเหลือรับผู้โดยสาร 3 ล้านคน/ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 11 ตุลาคม 2568 แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการและมี บจ.เอเชีย เอรา วัน (ซี.พี.) เป็นคู่สัญญานั้น

- เปิดความเห็นอสส.สั่งรฟท.แก้ไขร่างสัญญาไฮสปีด3 สนามบิน ย้ำให้เกิดปย.สูงสุดแก่รัฐ-ปชช.
- ฉบับเต็ม!18 ข้อสังเกต อสส.สั่งรฟท.แก้ไขร่างสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน เพื่อปย.สูงสุดรัฐ-ปชช.
- ‘พิพัฒน์’ไม่เห็นด้วยแก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน เล็งเชิญ 3 ฝ่ายผ่าทางตัน
โดยหลังจากที่นายพิพัฒน์รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่มีแนวคิดไม่แก้สัญญา และจะนัดหารือผู้เกี่ยวข้องนั้น ตอนนี้ทาง EEC ยังไม่ได้รับทราบการนัดหารือดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ไม่รู้ว่าทางรัฐมนตรีได้พูดคุยกับ รฟท.และซี.พี.ไปก่อนแล้วหรือยัง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนกระบวนการแก้ไขสัญญาตามหลักการที่มีมานั้น แหล่งข่าวจาก EEC ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาและได้มีความเห็นกลับมา 18 ประเด็นแล้วนั้น เบื้องต้น ทางซี.พี.มีประเด็นที่ต้องการชี้แจงให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับทราบคือ การวางหลักประกันสัญญาที่ทางอัยการสูงสุดมีข้อแนะนำตามข้อ 7.1 ว่า “รฟท. จึงควรพิจารณาทบทวนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว โดยกําหนดให้มีหลักประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงตามมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ งานระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ และกําหนดให้ดํารงมูลค่าของหลักประกัน ดังกล่าวไว้จนกว่าครบระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถทั้งระบบ..“ นั้น ได้มีการกำหนดให้ ซี.พี.วางหลักประกันครอบคลุมทั้งหมดแล้ว การแนะนำให้วางหลักประกันดังกล่าว อาจจะเป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อนได้ จึงได้ส่งหนังสือถึง รฟท. เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อรอส่งหนังสือดังกล่าวให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หนังสือของซี.พี.ยังอยู่ที่ รฟท. แต่จากเหตุการณ์ที่นายวีริศ อัมระปาล ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯรฟท จึงอาจจะต้องรอว่า ผู้บริหารกระทรวงปัจจุบันจะแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าฯคนใหม่เมื่อไหร่ก่อน จึงจะสามารถลงนามเพื่อส่งหนังสือดังกล่าวได้
@รับเงื่อนไข UTA ลดไซส์เทอร์มินัลอู่ตะเภา
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (มีบมจ.การบินกรุงเทพ หรือ บางกอกแอร์เวย์ส, บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นหรือ ซิโน่-ไทย ร่วมทุนกัน) หลังจากที่ทางเอกชนส่งสัญญาณอาจจะขอยกเลิกสัญญาจากความล่าช้าที่ดำเนินการมากว่า 5 ปี หลังจากลงนามในสัญญาเมื่อปี 2563 นั้น

ล่าสุดแหล่งข่าวจาก EEC เปิดเผยว่า จากการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ EEC ยอมรับเงื่อนไขของเอกชนที่จะปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในฟสแรก จากเดิมที่ 12 ล้านคนต่อปี มาเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาขยายศัยกภาพสนามบินของ ทอท.และปัจจัยอื่นๆที่มากระทบต่อปริมาณผู้โดยสาร ประกอบกับสนามบินอู่ตะเภาในปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารเพียง 4 แสนคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2-3 ล้านคนต่อปี จึงเห็นว่า เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งหากเปิดบริการแล้วผู้โดยสารเติบโตเร็ว ถึง70% ของขีดความสามารถก็สามารถพัฒนาขยายการรองรับเพิ่มเป็น 6 ล้านคนต่อปี 8 ล้านคนต่อปี ได้ และสุดท้ายจะพัฒนาไปถึง 60 ล้านคนต่อปีตามระยะเวลาสัญญา 50 ปี แลกกับการที่เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเริ่มโครงการโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อีกทั้งโครงการทางวิ่งที่ 2 และทางขับได้เริ่มต้นก่อสร้างแล้ว ซึ่งตามสัญญาโครงการ ตัวอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มงานไปพร้อมกันกับทางวิ่งด้วย จึงเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นโครงการสักที
สำหรับขั้นตอนต่อไป ทาง EEC จะต้องเสนอต่อไปยังคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.หรือบอร์ด EEC) เพื่อรับทราบเงื่อนไขใหม่ดังกล่าวร่วมกัน จากนั้นจะเสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ ซึ่งหลังจากที่ประชุมทั้งสองรับทราบ ก็จะต้องปรับแก้สัญญาต่อไปด้วย เพราะเดิมในสัญญาสัมปทานยังระบุการเริ่มต้นโครงการไว้ที่ 12 ล้านคน/ปี อยู่ ส่วนจะเสนอได้เมื่อไหร่ คงต้องรอนายพิพัฒน์ในฐานประธานบอร์ด EEC คนปัจจุบันนัดหมายอีกที

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา